ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

#รบกวนช่วยกันแชร์หน่อยนะครับ คดีอดีตพระพรหมดิลกจะสืบพยานในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ เกือบปีแล้วที่ท่านต้องอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

#รบกวนช่วยกันแชร์หน่อยนะครับ คดีอดีตพระพรหมดิลกจะสืบพยานในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ เกือบปีแล้วที่ท่านต้องอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทางเพจจึงตั้งใจที่จะโพสต์ย้อนรอยเหตุการณ์ช่วงเช้ามืดของวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 เพื่อไล่ลำดับ Timeline ในคดีของอดีตพระพรหมดิลก ซึ่งหลายคนยังไม่รู้ข้อเท็จจริง แล้วคงจะโพสต์ที่นี่ที่เดียว คิดเห็นอย่างไร สุดแล้วแต่วิจารณญาณของผู้อ่าน ทางเพจเพียงแค่เป็นผู้นำเสนอเท่านั้น

บทที่ 1 ปฏิบัติการอรุโณทัย

เช้ามืด วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 เมื่อแสงสีทองของอรุณจับขอบฟ้า พระภิกษุสามเณรต่างพากันทำกิจวัตรส่วนตัว เตรียมตัวออกบิณฑบาตโปรดญาติโยม เมื่อเสียงล้อประตูเหล็กที่ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ดีเสียดสีกันดังครืดเพราะคนวัดเปิดประตู ชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบกลุ่มใหญ่พากันเบียดเสียดแทรกกายเข้ามาปานผึ้งแตกรัง พากันถามพระภิกษุสามเณรที่กำลังออกบิณฑบาตถึงที่อยู่ของกลุ่มเป้าหมายตามหมายจับและหมายค้นที่ได้นำเตรียมมา และชื่อที่ถามหาตามหมายดังกล่าว ก็คือ พระพรหมดิลก และพระอรรถกิจโสภณ นั่นเอง
ทันทีที่ชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบอ่านหมายจับของศาลให้จับกุมตัวพระพรหมดิลก และพระอรรถกิจโสภณ พร้อมด้วยหมายค้นจบลง ทั้งหมด ต่างกระจายกำลังเข้าค้นตามกุฏิที่พักจุดต่างๆ อย่างแข็งขัน ปานประหนึ่งว่าท่านเป็นผู้ต้องหาคดีร้ายแรง โดยมิได้ฟังเสียงทัดทานจากพระเณรรูปใด
กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของหลวงพ่อ ก็คือการตื่นขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์ทุกเช้า และเช้าวันนั้นก็เป็นเช่นเช้าทุกๆ วัน ที่ท่านตื่นมาสวดมนต์ไหว้พระตามปกติ ในขณะที่ท่านสวดมนต์อยู่ข้างบน เจ้าหน้าที่หลายนายก็กระจายกำลังค้นอยู่ด้านล่าง บางนายถึงขนาดจะขึ้นไปเอาตัวหลวงพ่อลงมา เพราะเกรงว่าหลวงพ่อจะหนี แต่เดชะบุญที่มีพระลูกศิษย์ขอให้ท่านไหว้พระสวดมนต์เสร็จก่อนได้หรือไม่ พูดกันอยู่นาน จนในที่สุดเจ้าหน้าที่หัวหน้าชุดบุกค้นดังกล่าวจึงยอม
เมื่อหลวงพ่อสวดมนต์เสร็จ ท่านก็ห่มผ้าลงมาพร้อมรออยู่แล้ว ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเปื้อนยิ้มมุมปาก และยึดมั่นในความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่เคยคิดจะหนี และได้บอกกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ไปว่า อาตมาอยู่นี่แล้ว มิเห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตให้ลูกพระลูกเณรในวัดแตกตื่นตกใจ ไปก็ไป พร้อมนิมนต์ท่านออกจากกุฏิ และในขณะเดียวกันทางด้านกุฏิพระอรรถกิจโสภณ หรือพระเลขา เจ้าหน้าที่อีกกลุ่มที่เข้าค้นกุฏิท่านก็ไม่อนุญาตให้ท่านหยิบหาเอกสารต่างๆ เพื่อนำไปชี้แจง โดยให้เหตุผลว่ามีหมายค้นอยู่แล้ว ทุกอย่างจะถูกนำไปที่กองปราบปรามเอง และได้นำตัวท่านมาขึ้นรถตำรวจที่จอดรออยู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
...ที่เล่ามาทั้งหมดก็มาจากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนในวันนั้น ส่วนเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร จะคอยมาเล่าเป็นตอนๆ กดไลค์ กดแชร์เพจต่อๆ ไป เพื่อให้ได้ผู้เห็นเหตุการณ์มากขึ้น...

#อดีตพระพรหมดิลก #ผู้ยิ้มเผชิญกับทุกสิ่ง #ผู้ไม่เคยมีสักเสี้ยวความคิดที่จะหนี #ให้ไปก็ไป #ตอนนี้จำพรรษาอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมาจะครบปีแล้ว



บทที่ 2 เคราะห์กรรม

เมื่อพระพรหมดิลกและพระเลขาไปถึงห้องสอบสวน เจ้าหน้าที่ได้นำท่านทั้งสองไปเข้าห้องสอบสวน และแทนที่เจ้าหน้าที่จะเริ่มทำการสอบสวน แต่กลับกัน เจ้าหน้าที่เอาตัวท่านไปนั่งรออยู่ในห้องสอบสวนเฉยๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยมิได้ทำการสอบสวนแต่ประการใด บ้างก็คาดเดาว่าเป็นการสร้างสถานการณ์กดดัน
เจ้าหน้าที่เริ่มเข้ามาสอบสวนท่านหลังจากกินข้าวกลับมาแล้ว และการสอบสวนในครั้งนั้น มีเจ้าหน้าที่หลายนายเข้ามาทำการสอบสวน สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา และเป็นไปอย่างเร่งรีบ... รีบจนรู้สึกผิดปกติ
ภายใต้ภาวะกดดันจากสถานการณ์ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันนั้น กับทั้งการสอบปากคำเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ที่ไม่ให้สิทธิท่านเตรียมตัวอะไรสักอย่าง ไม่แม้แต่จะให้หยิบเอกสารหลักฐานไปชี้แจงความบริสุทธิ์ของตน พระที่ถูกจับเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองโดนจับมาในข้อหาอะไร หรือจะต้องมาตอบคำถามเรื่องใด ก็ทำให้ง่ายต่อการจะเชื่อได้ว่า “ไม่สามารถชี้แจงได้”
การสอบสวนดำเนินไปจนถึงเวลาบ่าย 3 โมงเย็น เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวท่านทั้งสอง ขึ้นรถตู้ไปศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ศรีย่าน) เพื่อขออำนาจศาลฝากขัง โดยคัดค้านการประกันตัว
ในวันนั้นเองที่ได้เห็นถึงน้ำใจหลายๆ อย่างของเพื่อนสหธรรมิกด้วยกัน รวมถึงน้ำใจของลูกศิษย์ลูกหาที่พอทราบข่าวก็เดินทางไปเพื่อนำปัจจัยไปประกันตัวท่านทั้งสองรูปออกมาต่อสู้คดี และการรอคอยในวันนั้นมันช่างดูยาวนานเหลือเกิน
ทั้งผู้ที่ไปที่ศาลในวันนั้น และสหธรรมิกในสังฆมณฑลหลายๆ รูป ซึ่งมารอฟังข่าวที่วัดสามพระยา รวมทั้งลูกพระ-ลูกเณรที่วัดสามพระยา ต่างรอคอยฟังคำสั่งศาลอย่างใจจดใจจ่อ หลายๆ รูป ต่างเดินไปกราบหลวงพ่อเกษร พระประธานในพระอุโบสถวัดสามพระยา เดินไปไหว้หลวงพ่อนั่ง-หลวงพ่อนอน ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ท่านได้ประกันตัวออกมาต่อสู้คดี
และจะว่าเป็นคราวเคราะห์หรือกรรมเก่าของท่านก็คงไม่ผิดนัก เวลา 2 ทุ่มในวันนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งไม่ให้ท่านทั้งสองรูปได้รับการประกันตัว โดยให้เหตุผลว่า คดีมีอัตราโทษสูง และกระทบต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งอาจจะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ ซึ่งถ้ามาศาลได้เร็วกว่านี้ ท่านทั้งสองซึ่งตกเป็นจำเลยจะมีโอกาสยื่นอุทธรณ์ร้องขอการประกันตัวอีกสักครั้ง หรือร้องขอให้ส่งตัวไปควบคุม ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 29
ทันทีที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ซึ่งประจำการที่ศาลได้เข้าไปกราบขออนุญาตให้ท่านถอดจีวร โดยอนุญาตให้ท่านพบทนายความตามสิทธิ ในเวลานั้นพระทุกรูปนั่งล้อมวงกันรอบหลวงพ่อพระพรหมดิลก และสายตาของพระทุกรูปล้วนมองไปที่พระพรหมดิลกแทบจะพร้อมกันทันทีที่ได้รับทราบคำสั่งของศาล
หลวงพ่อในฐานะที่เป็นพระอาวุโสสูงสุดในที่นั้น ใช้เวลาพูดคุยกับพระทุกรูปที่ถูกคุมตัวไปในวันนั้นอยู่เป็นเวลาพอสมควร หลายรูปผ่อนคลายลงบ้าง พระที่ถูกจับมาพร้อมกันรูปหนึ่งคุกเข่าลง เปล่งวาจาขอให้ท่านรับเป็นพยานในอันที่จะไม่เปล่งวาจาลาสิกขา จากนั้น พระทุกรูปรวมหลวงพ่อพระพรหมดิลก จึงเปล่งวาจาอธิษฐานขอครองตนเป็นพระว่า “จะขอครองสมณเพศ ปฏิบัติต่อไปจนตราบสิ้นลมหายใจ จะมิมีผู้ใดพรากเราจากความเป็นสมณะได้” จึงเท่ากับว่าไม่มีพระรูปใดเปล่งคำลาสิกขา จึงขอเรียนให้ทราบสำหรับท่านที่ยังสงสัยในข้อนี้อยู่
ทุกรูปยอมเปลื้องผ้าออกโดยทำในใจว่า ผ้ากาสาวพัสตร์ที่ใช้นุ่งห่มมาแต่เดิมนั้นถูกช่วงชิงเอาไปอย่างไม่เป็นธรรม แม้เขาจะให้ท่านนุ่งชุดขาวเยี่ยงคฤหัสถ์ แต่ก็มิได้ทำในใจว่าตนเป็นคฤหัสถ์ หากแต่อธิษฐานเอาผ้าขาวใช้แทนต่างผ้าไตรจีวรที่เคยนุ่งห่ม แล้วหลวงพ่อจึงให้โอวาทว่า ขอให้ทุกท่านถือศีลปฏิบัติต่อไปอย่าได้ย่อท้อ ขอให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทุกประการเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รู้สึกลำบากใจ กระบวนการยุติธรรมจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกท่านเอง แม้ในเวลาเช่นนี้ ท่านก็ยังเชื่อถือและไว้ใจกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่รู้ทำอะไรกับท่านอยู่
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกนาย จึงพร้อมกันคุกเข่าลง กราบขอขมาและขออโหสิกรรม ถวายชุดขาวแก่ทุกท่านเพื่อปฏิบัติตามหน้าที่ต่อไป และให้เกียรติทุกท่านด้วยการไม่ตีโซ่ตรวน แต่การปฏิบัติงานย่อมเป็นไปตามกฎหมายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกับผู้ต้องขังทั่วไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้เชิญทุกท่านเดินขึ้นรถเรือนจำฯ ที่จอดรอยู่ เพื่อเดินทางไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป
บรรยากาศวันนั้นจะว่าฟ้าหลั่งน้ำตาก็คงไม่ผิดนัก ช่วงค่ำวันนั้นมีฝนตกปรอยๆ ลมพายุกรรโชก ฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว แต่หลังจากรถของกรมราชทัณฑ์นำตัวท่านพ้นออกจากเขตศาลไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพแล้ว บรรยากาศทุกอย่างก็ดูจะค่อยๆ สงบลง พร้อมกับรถที่เคลื่อนตัวหายลับไปกับความมืดและแสงไฟบนท้องถนน เหลือทิ้งไว้เพียงความใจหายและหยาดน้ำตาของลูกพระลูกเณร รวมถึงญาติโยมที่เคารพรักในตัวท่าน
…เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาไม่ให้ประกันตัว เวลาก็ล่วงเลยถึงสองทุ่มแล้ว แล้ววันนั้นทุกอย่างก็ดูเหมือจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า… ช้าจนทำให้นึกถึงประโยคที่เคยมีคนพูดว่า “ความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม นั่นคือความอยุติธรรม” ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น…
...โปรดติดตามตอนต่อไป…
#กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้า
#นั่นคือความอยุติธรรม
Cr ; เพจ จีวร @YellowRobeBuddhist

1 ความคิดเห็น