อานุภาพ “สัมมา อะระหัง” ในอดีต… พระอภิรูโปตายแล้วฟื้น… คุณครูไม่ใหญ่เคยเล่าเรื่องราวของพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อพระอภิรูโปว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก่อ...
อานุภาพ “สัมมา อะระหัง” ในอดีต…
พระอภิรูโปตายแล้วฟื้น…
คุณครูไม่ใหญ่เคยเล่าเรื่องราวของพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อพระอภิรูโปว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก่อนที่พระอภิรูโปจะมาบวช ท่านทำอาชีพเผาปูนขาย แต่เผาไปเผามาผงปูนเข้าไปกัดในคอ กัดจนเลือดออก รักษาอย่างไรก็ไม่หาย แถมล้มป่วยหนักจนเข้าขั้นโคม่า ทำให้พระลูกชายของท่านที่บวชอยู่ที่วัดปากน้ำเป็นห่วงมาก จึงเขียนจดหมายบอกคาถาดีกับโยมพ่อว่าให้ท่อง“สัมมา อะระหัง” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งพอท่องไปท่องมา อยู่ ๆ ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น คือได้เห็นหลวงปู่วัดปากน้ำมายืนอยู่ตรงหัวนอน ตอนที่เห็นนั้น ท่านยังไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้าหลวงปู่ มาก่อนเลย แต่ก็อธิบายลักษณะได้ชัดว่า เป็นพระภิกษุที่มีสง่าราศีมาก และมีจุดเด่นคือมีไฝขนาดใหญ่ ๒ เม็ด ในวันนั้นหลวงปู่ท่านบอกว่า “เอ็งเอาขมิ้นกินเข้าไปสิวะ เดี๋ยวก็หาย”
แต่เนื่องจากสภาพร่างกายของพระอภิรูโปตอนนั้นร่อแร่เต็มที หลังจากเห็นหลวงปู่แล้ว กายมนุษย์ละเอียดก็หลุดจากกายมนุษย์หยาบทันทีโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าใช้ศัพท์ชาวบ้านก็คือ วิญญาณหลุดออกจากร่าง หรือพูดง่าย ๆ ว่าตายแล้วนั่นเอง และด้วยความที่พระอภิรูโปไม่รู้ว่าตัวเองตาย จึงคิดไปว่าทำไมหลังจากท่อง “สัมมา อะระหัง” แล้ว ร่างกายสบาย ไม่เจ็บปวดทรมานเหมือนเก่า แถมยังมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้น คือลุกเดินออกจากร่างตัวเองได้ด้วย คือแทนที่ท่านจะคิดว่าตัวเองตายแล้ว แต่กลับมี Positive Thinking คือ คิดบวก ถึงขั้นว่าคงเป็นเพราะอานุภาพที่ได้ท่องคาถาวิเศษ คือ “สัมมา อะระหัง”
พอคิดอย่างนี้ ท่านก็รีบท่อง “สัมมา อะระหัง” ใหญ่เลย คือท่องไป เดินไป ทึ่งไป เพราะสามารถเดินเหนือพื้นได้ เดินไปในอากาศได้ เหมือนมีอากาศเป็นแผ่นดิน แถมเดินได้เร็วกว่าปกติอีก ซึ่งพอทำได้อย่างนี้ก็คิดบวกต่อไปอีกว่า ท่อง “สัมมา อะระหัง” ช่างดีอะไรขนาดนี้ ท่องแล้วทำให้เหาะได้ด้วย
จากนั้น ท่านก็เดินเหาะ ๆ ลอย ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างเบิกบานใจ จนกระทั่งไปเจอคนรู้จัก ๒ คน คนแรกเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนคนที่สองเดินอยู่ข้างหลัง อยู่ห่างกันแค่ ๒ เมตร ก็เลยดีใจ คิดจะไปบอกเขาว่าเจอคาถาเด็ดเข้าแล้ว คือถ้าได้ท่อง “สัมมา อะระหัง” แล้ว จะเหาะได้
เพราะอยากจะให้เขาเหาะได้เหมือนตัวท่านเอง แต่ทันทีที่ท่านตะโกนเรียก ทั้งสองคนนั้นกลับไม่มีใครโต้ตอบหรือหันมามองเลยสักคน เพราะเขาไม่ได้ยิน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เลยทำให้ท่านไม่พอใจว่าทำไมเรียกแล้วไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรกันบ้างเลย
ด้วยเหตุนี้ทำให้กายละเอียดของท่านเกิดอาการหงุดหงิดขัดใจ จึงลองเปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่ คือเดินไปในอากาศแล้วเอาเท้าไปเหยียบบ่าคนที่อยู่ข้างหน้าเสียเลย เพราะอยากไม่หันมามองดีนัก ทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าเซจนหน้าคะมำไปเลย และเกิดอาการไม่พอใจอย่างแรงจนต้องหันขวับมาดู พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า ใครกันบังอาจมาผลักเรา และพอหันมาเจอคนข้างหลัง ก็เลยคิดว่า ต้องเป็นไอ้หมอนี่ผลักแน่ ๆ ก็เลยทำให้ทะเลาะกันยกใหญ่
เมื่อท่านเห็นดังนั้น ก็รีบห้ามว่า “อย่าทะเลาะกัน ฉันเป็นคนทำเอง” แต่ไม่ว่าจะพยายามบอกอย่างไร สองคนนั้นก็ไม่ได้ยินอยู่ดี เลยทำให้ท่านเปลี่ยนมาใช้วิธีการใหม่ คือ เดินไปเขย่าต้นพุทราที่อยู่ข้างหน้าให้สั่นอย่างแรง เมื่อสองคนนั้นเห็นต้นพุทราสั่นโดยไม่เห็นคนเขย่า ก็ตะลึงตาค้าง หยุดทะเลาะกันทันที
ขณะที่สองคนนั้นกำลังตาค้างอยู่ กายละเอียดก็เข้าใจไปเองว่า เจ้ามนุษย์สองคนนี้สามารถมองเห็นตนได้แล้ว จึงเกิดกำลังใจขึ้นมาใหม่ว่า งั้นเราควรรีบบอกคาถาดีให้เขาท่อง “สัมมา อะระหัง” แล้วเขาจะได้เหาะได้ดีกว่า
แต่ที่ไหนได้ ขณะที่กำลังจะอ้าปากบอก สองคนนั้นเผ่นอ้าว วิ่งหนีป่าราบ พร้อมกับตะโกนว่า “ผีหลอก!”
เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนั้น กายละเอียดก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเดินเรื่อยเปื่อย และไปเจอยายแก่ที่รู้จักกันอีก จากนั้นก็ใช้วิธีการเดิมอีก คือเดินไปเขย่าต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้า เพราะคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่จะทำให้ยายแก่หันมามองได้ แต่ที่ไหนได้ ยายแก่คนนี้เจนโลก คือไม่เหมือนชายสองคนที่แล้ว เพราะแกไม่กลัวผี พอแกเห็นต้นไม้สั่นเองได้ แกก็ด่ากราดเลยว่า “ไอ้ผี มาหลอกได้แม้กระทั่งคนแก่ หลอกแม้กระทั่งกลางวัน” ด่าอย่างนั้นอย่างนี้ โวยวายยกใหญ่ จนทำให้กายละเอียดหมดอารมณ์ เกิดอาการไม่พอใจ พลางคิดว่าอุตส่าห์หวังดี กะจะเอาคาถาดี “สัมมา อะระหัง” เหาะได้ มาบอก ทำไมมาด่ากันถึงขนาดนี้ พอคิดอย่างนี้ก็เลยเดินเข้าไปใกล้ยายแก่ กะว่าจะเอาเท้าเหยียบบ่าแกเหมือนที่เหยียบชายคนเมื่อกี้ แต่คิดไปคิดมาก็บอกกับตัวเองว่าอย่าดีกว่า เพราะเมื่อกี้เหยียบบ่าผู้ชายคนนั้นเบา ๆ เขายังหน้าคะมำไปถึงขนาดนั้น แต่นี่ยายแกแก่แล้ว เดี๋ยวเกิดล้มแล้วตายขึ้นมาจะบาปเปล่า ๆ เมื่อคิดดังนั้นแล้ว กายละเอียดก็เลยถอยทัพกลับบ้านตัวเองดีกว่า
ทันทีที่เข้าบ้านก็ต้องตกใจ เพราะเห็นคนในบ้านร้องไห้กันระงม อีกทั้งพอเห็นสัปเหร่อจับร่างของตัวเองมัดตราสังข์ เอาดอกไม้ใส่มือ ก็เลยรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว
พอรู้อย่างนี้ ก็เกิดความรู้สึกอยากจะกลับเข้าร่างตัวเองใหม่ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงรีบท่อง “สัมมา อะระหัง” ใหญ่เลย และคิดในใจว่าอยากจะเข้าร่างให้ได้ จากนั้นมันปรื๊ดเข้าไปอย่างไรก็ไม่ทราบ คือกายละเอียดวื้ดเข้าร่างเดิมได้
พอสัปเหร่อเห็นร่างที่ตายแล้วกระดุกกระดิกขึ้นมาใหม่ได้ ก็นึกว่าผีหลอก เผ่นอ้าวหนีไปเลย แต่สักครู่ก็มีผู้กล้าคนหนึ่งเข้าไปแกะเชือกที่มัดมือออก และพูดจากันจนเกิดความเข้าใจ และมั่นใจว่าไม่ใช่ผีแล้ว ท่านก็เลยบอกให้คนข้าง ๆ ช่วยไปเอาขมิ้นมาให้กิน ตามที่
หลวงปู่วัดปากน้ำบอกเอาไว้ จนสุดท้ายก็หายป่วยเป็นอัศจรรย์จริง ๆ
อานุภาพ “สัมมา อะระหัง” ในปัจจุบัน
Cr : ความจริงกรณี ธรรมกาย
ไม่มีความคิดเห็น