#เพราะอะไรเด็กๆเดนมาร์คไม่ ค่อยร้องไห้ ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาพัฒนาการจากมหาวิทยาลัย Warwick ประเทศอังกฤษ วิจัยพบว่าทารกจากประเทศเดนมาร์ค...
ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาพัฒนาการจากมหาวิทยาลัย Warwick ประเทศอังกฤษ วิจัยพบว่าทารกจากประเทศเดนมาร์คมีอัตราการร้องโคลิคน้อยกว่าหลายๆประเทศ ...
สำคัญที่สุดคือ การจัดการของอารมณ์ของพ่อแม่ อย่าลืมว่า อารมณ์ของลูกเหมือนกระจกสะท้อนอารมณ์ของพ่อแม่ บางครั้งพ่อแม่ที่เครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า ก็ทำให้ลูกมีความเครียดได้โดยไม่ได้ตั้งใจ
#เพราะอะไรเด็กๆเดนมาร์คไม่ค่อยร้องไห้
มีการศึกษาที่พบว่า เด็กทารกของประเทศอังกฤษ แคนาดา อิตาลี และเนเธอร์แลนด์นั้นร้องไห้มากกว่าเด็กทารกจากประเทศเดนมาร์ค เยอรมัน และญี่ปุ่น
ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาพัฒนาการจากมหาวิทยาลัย Warwick ประเทศอังกฤษ วิจัยพบว่าทารกจากประเทศเดนมาร์คมีอัตราการร้องโคลิคน้อยกว่าหลายๆประเทศ
ถ้าใครเคยเลี้ยงเด็กแรกเกิด คงจำได้ว่าช่วงที่เด็กเกิดใหม่ๆ เป็นช่วงที่เด็กร้องไห้มากที่สุด แต่เด็กบางคนก็ร้องไห้บ่อยและถี่มากที่เค้าเรียกกันว่า 'ร้องไห้สามเดือน' หรือ 'โคลิค'
จริงๆแล้วการร้องโคลิค เกิดได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน อาจเป็นจากระบบประสาทยังพัฒนาไม่ดีพอจะควบคุมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก หรือเด็กที่เลี้ยงลาก และบางครั้งเกิดจากการตอบสนองของคนเลี้ยง
บ่อยๆที่พบว่าถ้าคนเลี้ยงมีความเครียด กังวลสูง จะสัมพันธ์กับการร้องโคลิคที่มากขึ้น
เดนมาร์คซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรที่มีความสุขเป็นอันดับสองของโลก และเป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงที่จะไปอาศัยอยู่ รวมถึงมีระบบบริการสุขภาพที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป มีอะไรที่อาจจะแตกต่างกับประเทศอื่นๆบ้างในเรื่องเกี่ยวกับ แม่และเด็ก ซึ่งหมอคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว
1. ประเทศเดนมาร์คให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูในช่วงขวบปีแรกของทารก (ซึ่งเป็นนาทีทองแห่งการปลูกฝังความไว้เนื้อเชื่อใจในผู้ดูแลกับเด็ก (basic trust) และอาจส่งผลถึงการมองโลกในแง่ดีของเด็กคนนั้นในอนาคต)
ตามกฎหมายแม่ทุกคนจะได้ลางานตั้งแต่ 1 เดือนก่อนกำหนดคลอด (ย้ำว่าลาได้ 1 เดือน แบบมีเงินเดือนให้ด้วยนะ) และหลังคลอดก็ลาได้ยาวถึง 52 อาทิตย์ หรือ 1 ปี1เดือน โดยรัฐบาลจะมีรายได้ที่ชดเชยให้ แม้ว่าจะไม่เต็มอัตรา(สามเดือนครึ่งหลังคลอด ลาได้แบบมีเงินเดือนเต็มอัตรา)
คือเน้นให้แม่มีเวลาเลี้ยงลูกอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมานั่งเครียดเรื่องค่าใช้จ่าย เอาเป็นว่าเครียดเรื่องเลี้ยงลูกก็เยอะแล้ว
ตรงนี้ครอบคลุมถึงการให้พ่อลางานมาช่วยเลี้ยงก็ได้ กฎหมายของเขายังละเอียดถึงว่า ถ้าคุณแม่คนไหนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว สามารถให้ co-mother หรือคนที่ไม่ใช่พ่อแม่แต่มาช่วยกันกับแม่เลี้ยงลูก ลางานได้เช่นกัน ละเอียดอ่อนกันเต็มที่ มีคนมาช่วยเลี้ยงถ้าไม่ต้องเครียดเรื่องอื่น แม่ก็เลยสบายใจขึ้น การจัดการกับลูกก็ทำได้ดีขึ้น
2. เมื่อแม่ชาวเดนมาร์คมีเวลาดูแลลูกมากขึ้น บวกกับมีคนมาช่วยกันเลี้ยง โดยเฉพาะพ่อ ทำให้ความเครียดโดยรวมของแม่ลดลง มีความสม่ำเสมอในการเข้าไปสนใจดูแลเด็กเวลาที่ร้องไห้ การมองหน้าสบตา หัวเราะพูดคุย ความคาดเดาได้ไม่ขึ้นๆลงๆ ตรงนี้ก็อาจทำให้ทารกมีอารมณ์ที่ดีและสงบมากขึ้น
3. อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของเดนมาร์คถือว่าสูงที่สุดในโลก (จากงานวิจัยในวารสาร Lancet ปี 2016) หมอคิดว่าเนื่องจากแม่มีเวลาให้ลูกมากโดยเฉพาะขวบปีแรก เมื่อแม่มีความเครียดน้อย การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงราบรื่นขึ้น ตรงนี้ก็สะท้อนถึงสัมพันธภาพของแม่และเด็กชาวเดนมาร์คด้วย
4.เมื่อเป็นประเทศที่ประชากรมีความสุขมากที่สุดอันดับแรกๆของโลก ก็เป็นไปได้ว่า คนของเขามีความฉลาดทางอารมณ์หรือEQที่ดี หมายถึงมีความเข้าใจและมุมมองที่ยอมรับทุกอารมณ์ความรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ว่าจะดีใจ โกรธ เสียใจ การยอมรับนำไปสู่การจัดการอารมณ์ที่เหมาะสม
แม่คนหนึ่งที่มีมุมมองว่า การที่เด็กร้องไห้เป็นเรื่องปกติของเด็ก ทำให้ไม่รู้สึกกลัวเมื่อลูกร้องไห้ และมองว่าการ้องไห้นั้นเป็นหนทางที่ทำให้ตัวเองสื่อสารกับลูกที่ยังพูดไม่ได้ มุมมองแง่บวกทำให้การจัดการกับลูกเมื่อร้องไห้เป็นไปอย่างไม่เคร่งเครียด.
จะเป็นเด็กวัยไหน การร้องไห้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เป็นการแสดงออกทางอารมณ์อย่างหนึ่ง
การจัดการที่เหมาะสมพ่อแม่เป็นเรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือมองหาสาเหตุและจัดการตรงนั้นอย่างมีสติ ด้วยความเข้าใจและยอมรับ
สำคัญที่สุดคือ การจัดการของอารมณ์ของพ่อแม่ อย่าลืมว่า อารมณ์ของลูกเหมือนกระจกสะท้อนอารมณ์ของพ่อแม่ บางครั้งพ่อแม่ที่เครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า ก็ทำให้ลูกมีความเครียดได้โดยไม่ได้ตั้งใจ
การหาตัวช่วยจากคนรอบข้างหรือผู้เชี่ยวชาญ ก็อาจจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยทำให้พ่อแม่เครียดน้อยลง อย่าปล่อยให้ตัวเองเครียดจนมีผลกระทบต่อคนที่เรารักนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น