ทางแพร่งที่ 2 บริหารปกครองประเทศโดยไม่ต้องมีพระพุทธศาสนา เส้นทางสองเส้นนี้ให้อนาคตของประเทศแตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหว
สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ การไม่รับฟังมติมหาเถรสมาคมก็เปรียบเหมือนกับ การปฏิเสธผลประชามติของพระสงฆ์ทั้งประเทศ หากรัฐบาลทำให้มติสงฆ์ไร้ความหมายเช่นนี้ ก็เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังผลักดันการบริหารประเทศ ให้ไปถึงทาง 2 แพร่ง ซึ่งเป็นจุดที่สุ่มเสี่ยงต่อการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารปกครองประเทศไทยในอนาคต โดยที่รัฐบาลเองก็อาจยังไม่รู้ตัว เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ได้ทำให้แนวคิดของประชาชนแตกแยกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก มีความคิดว่าศาสนาพุทธยังจำเป็นต่อประเทศนี้
กลุ่มที่สอง มีความคิดว่าประเทศนี้ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาพุทธ
แนวคิดทั้งสองกลุ่มนี้ นับวันจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นความแตกแยกคนละแบบกับการเมืองกีฬาสี ที่แบ่งเป็น "เหลือง" กับ "แดง" แต่รอบนี้เป็นความแตกแยกแบบ "การเมืองมีศาสนา" กับ "การเมืองไม่มีศาสนา"
สัญญาณที่ก่อตัวขึ้นแบบนี้ เมื่อเกิดความสุกงอมถึงจุดหนึ่ง ก็จะกลายเป็นสถานการณ์บีบบังคับให้ประชาชน ต้องตัดสินใจว่า ประเทศไทยในอนาคต ควรเลือกการบริหารปกครองแบบใด ถึงจะเกิดผลลัพธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่ากัน ระหว่าง
ทางแพร่งที่ 1 การบริหารประเทศแบบมีพระพุทธศาสนา
เส้นทางสองเส้นนี้ ให้ผลลัพธ์ในอนาคตทางสังคม เศรษฐกิจ และประเพณีวัฒนธรรมของประเทศ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สมมติว่าถ้าหากประชาชนตัดสินใจเลือกทางแพร่งที่ 2 พระพุทธศาสนาก็จะกลายเป็นส่วนเกินของประเทศนี้ทันที ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ตามมาก็คือ
ระบบเศรษฐกิจจะไม่ต้องมีการแบ่งแยก "สัมมาอาชีพ" กับ "มิจฉาอาชีพ" อีกต่อไป ธุรกิจใต้ดินก็จะมาอยู่บนดินอย่างผ่าเผย อบายมุขทุกชนิดเป็นธุรกิจถูกกฎหมาย ยาบ้า ยาไอซ์ บาอี ยาเสพติดทุกชนิด
ก็จะกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ภาษีจากบ่อน ซ่อง คาสิโน สถานเริงรมย์ กลายเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่หล่อเลี้ยงประเทศ ขณะเดียวกัน สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงตามมาก็คือ ไม่ต้องมีการแบ่งแยก "ดี" กับ "ชั่ว" อีกต่อไป
ศีลธรรมในสังคมล่มสลาย คนฉลาดเอาเปรียบคนโง่ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก มือใครยาวสาวได้สาวเอา
สภาพสังคมเต็มไปด้วยการเบียดเบียนรังแกกัน บ้านเมืองเต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพลเหนือกฎหมาย ทุกตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยอิทธิพลเถื่อน กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ ความผูกพันในครอบครัวล่มสลาย
สภาพในครอบครัวแตกแยก เต็มไปด้วยการหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ แย่งชิงสมบัติมรดกอย่างไร้ศีลธรรม ลูกด่าพ่อแม่ตบตีพ่อแม่ได้อย่างไม่ผิดศีลธรรม สามีภรรยานอกใจกันได้อย่างเสรี ลูกเขยลูกสะใภ้แต่งงานเพื่อหวังฮุบสมบัติคู่สมรส พ่อแม่แก่ชราถูกลูกในไส้ขับไล่ออกจากบ้าน สภาพความเป็นอยู่ไม่ต่างจากสุนัขจรจัด ผู้คนอยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องคำนึงเรื่องศีลธรรม นึกจะทำสิ่งใดก็ไม่ต้องมีการยับยั้งชั่งใจ ไม่ต้องมีการยั้งคิดถึงผลเสียต่างๆ จะตามมา นี่คือสภาพการณ์ที่ยกตัวอย่างคร่าวๆ ให้เห็นว่า
การบริหารบ้านเมืองโดยไม่มีแนวคิดทางศาสนา เข้ามามีส่วนร่วมในนโยบายการบริหารบ้านเมือง จะส่งผลให้สังคม เศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิต ร่วมกันของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปในทางใด ถ้าหากผลลัพธ์ในอนาคตประเทศจะออกมาเป็นแบบนี้ รัฐบาลยังจะเลือกหนทางที่นำไปสู่การบริหารปกครอง แบบไม่ต้องมีพระพุทธศาสนาในอนาคตอย่างนั้นหรือ
ยังไงๆ รัฐบาลก็ควรจะฟังเสียงพระ ควรจะฟังเสียงมหาเถรสมาคมบ้าง อย่าปล่อยให้กลุ่มต้านมติสงฆ์เพียงไม่กี่คน เสียงดังกว่าเสียงมติสงฆ์ทั้งประเทศอีกต่อไปเลย
Cr : Ptt Cnkr
เขียนได้ชัด เขียนได้ลึก นับถือ..
ตอบลบอยากให้รัฐบาลนี้อยู่นานๆ
ตอบลบ..มหาโจรไม่ได้กล่าวไว้
(แต่น่าจะแอบคิดในใจ)
สุดยอด..ผู้เขียนบทความนี้เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล..รัฐบาลความสำเหนียกเสียงจากประชาชน
ตอบลบสามารถสรุปความต่างและ คาดการณ์ อนาคตได้เห็นชัดจัง
ตอบลบสามารถสรุปความต่างและ คาดการณ์ อนาคตได้เห็นชัดจัง
ตอบลบกระจ่างชัดมาก สาธุค่ะ
ตอบลบคำปรารภพระเจ้าตากสิน "..ทนทุกข์ยาก กู้ชาติพระศาสนา ถวายแผ่นดินให้เป็นพุทธบูชา.." ถ้าชาติไทยไม่มีพุทธศาสนา ความพินาศคงตามมาในไม่ช้า ขอให้วิญญาณบรรพชนได้รับรู้ และลงโทษผู้คิดร้ายต่อพุทธศาสนาด้วยเถิด
ตอบลบพระพุทธศาสนาได้เลือกประเทศไทย ประเทศเราจึงอุดมสมบุรณ์ทุกอย่าง ภัยพิบัติต่างๆยากจะกล่ำกลาย คนในบ้านนี้เมืองนี้เป็นผู้มีบุญมากที่สุดในโลกปัจจุบัน แค่คิดเป็นบรรลุธรรมทุกคน
ตอบลบ