ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

ประวัติความเป็นมาของ วันเข้าพรรษา

วันเข้าพรรษา คือ วันที่พระภิกษุเริ่มเข้าจำพรรษา อยู่ ณ วัดใดวัดหนึ่งในระหว่างฤดูฝน กำหนดตั้งแต่ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 รวมเวลา 3 เดือนเต็ม

ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติการจำพรรษาแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน พวกชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้เที่ยวไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำพืชพันธุ์ต่างๆ เสียหายเป็นจำนวนมาก และยังเบียดเบียนสัตว์เล็ก ๆ จำนวนมากให้ถึงความตายภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนา จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเหตุที่เกิดขึ้นนั้น แล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษา 

วันเข้าพรรษานี้มี 2 อย่าง คือ 1.ปุริมิกา วันเข้าพรรษาต้น หมายถึง เมื่อวันเพ็ญอาสาฬหะผ่านไปแล้ว วันถัดไปพึงเข้าพรรษาต้น คือวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 2.ปัจฉิมิกา วันเข้าพรรษาหลัง หมายถึง ถัดจากวันเพ็ญอาสาฬหะไปอีก 1 เดือน พึงเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 การเข้าพรรษานั้นพระภิกษุต้องอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน ห้ามไปค้างแรมที่ไหน แต่ก็มีกรณียกเว้น สามารถไปค้างแรมได้ เรียกว่า สัตตาหกรณียะ หมายถึง เมื่อมีเหตุจำเป็น พึงไปค้างแรมได้ 7 วัน ดังมีเรื่องราวดังต่อไปนี้
ในสมัยหนึ่งได้มีอุบาสกชื่ออุเทน มีจิตศรัทธาได้สร้างวิหารถวายสงฆ์ไว้ในโกศลชนบท เขามีความปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และอยากพบเห็นภิกษุทั้งหลาย จึงได้ส่งบริวารไปกราบนิมนต์พระภิกษุ
บริวารจึงไปกราบนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย แต่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นปฏิเสธการนิมนต์เนื่องจากเวลานั้นอยู่ในช่วงของการจำพรรษา ไม่สามารถไปค้างแรมได้ บริวารจึงกลับไปแจ้งให้อุเทนทราบ เขาจึงกล่าวโทษ ติเตียนภิกษุเหล่านั้นว่า เราส่งบริวารไปนิมนต์แล้วก็ไม่มาทั้งๆ ที่ตนก็เป็นทายก เป็นผู้ก่อสร้างวิหาร เป็นผู้บำรุงสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายได้ยินคำติเตียนนั้น จึงได้นำความไปกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงมีพุทธานุญาตให้สัตตาหกรณียะได้ หมายถึง เมื่อมีเหตุจำเป็น พึงไปค้างคืนได้ 7 วัน เหตุจำเป็นมี 5 ประการคือ 
1. ทายกปรารถนาจะถวายทานและฟังธรรม โดยส่งคนมานิมนต์ ทรงอนุญาตให้ไปได้เฉพาะที่เขาส่งคำนิมนต์มา ถ้าไม่ส่งคำนิมนต์มาไม่ให้ไป 
2. เพื่อนภิกษุและสามเณรอาพาธเกิดความฟุ้งซ่าน มีความเห็นผิด ต้องอาบัติหนักต้องการเข้าปริวาส ไปเพื่อให้มานัต ให้อัพภาน เพื่อให้เธอออกจากอาบัตินั้น 
3. สามเณรต้องการอุปสมบท ไปเพื่อให้อุปสมบท 
4. บิดา มารดา พี่น้อง หรือญาติของภิกษุป่วย ไปเยี่ยมไข้ได้
5. ไปเพื่อทำกิจของสงฆ์ เช่น สิ่งก่อสร้างภายในวัดชำรุด แล้วจำเป็นต้องไปหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆมาปฏิสังขรณ์ 
เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นที่ไม่สามารถจะจำพรรษาในที่นั้นๆ ต่อไปได้ ทรงมีพุทธานุญาตให้งดการจำพรรษา ไปอยู่ที่อื่นได้โดยไม่ผิดพระธรรมวินัย คือ 
1. ถูกสัตว์ร้ายรบกวน 
2. ถูกโจรปล้น
3. วิหารถูกไฟไหม้ หรือถูกน้ำท่วม
4. ชาวบ้านถูกโจรปล้น อพยพหนีไป ทรงอนุญาตให้ไปกับเขาได้ หรือถ้าชาวบ้านแตกกันเป็น 2 ฝ่าย ทรงอนุญาตให้ไปกับฝ่ายข้างมากได้ หรือถ้าฝ่ายข้างมากไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็ทรงอนุญาตให้ไปกับฝ่ายน้อยที่เลื่อมใสได้
5. ขาดแคลนอาหารหรือยารักษาโรค หรือขาดผู้บำรุง ได้รับความลำบาก ทรงอนุญาตให้ไปได้
6. ถ้ามีผู้เอาทรัพย์มาล่อ (ต้องการจะให้ลาสิกขา เอาทรัพย์สมบัติ ที่ไร่ที่นา และลูกสาวมาล่อให้สึก) ทรงอนุญาตให้หลีกไปได้
7. ภิกษุสงฆ์แตกกัน หรือมีผู้พยายามให้แตกกัน หรือทำให้แตกกันแล้ว ไปเพื่อหาทางระงับได้ 
ส่วนสถานที่ที่ควรจำพรรษานั้นควรเป็นสถานที่ที่สัปปายะ เช่นเป็นสถานที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเกินไป ไม่ใกล้กับหมู่บ้านเกินไป มีการคมนาคมที่สะดวก ไปมาสะดวก กลางวันคนไม่มาก ไม่พลุกพล่าน กลางคืนเงียบสงบ ไม่มีชาวบ้านเข้ามารบกวน เป็นสถานที่ลับตามนุษย์ เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับบรรพชิตผู้รักสงบ ต้องการหลีกเร้น 
ส่วนสถานที่จำพรรษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงผ่อนผันอนุญาตให้จำพรรษาในที่บางแห่งได้นั้น ในกรณีที่พระภิกษุผู้ที่กำลังเดินทางไปกับพวกเลี้ยงโคต่างๆ ซึ่งเป็นโคเดินทาง หรือหมู่เกวียน หรือโดยสารไปในเรือ เพื่อจะไปยังสถานที่ใดที่หนึ่ง ในขณะเดินทางอยู่พอดีถึงวันเข้าพรรษา พึงเข้าจำพรรษาในขบวนเดินทางนั้นๆ ได้ เมื่อพวกคนเลี้ยงโค ก็ดีหมู่เกวียนก็ดี หรือเรือโดยสารก็ดี เดินทางต่อไป ทรงอนุญาตให้ไปกับเขาได้ โดยอธิษฐานพรรษาว่า อิธ วสฺสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าเข้าจำพรรษาในที่นี้ 
เมื่อถึงตำบลที่พระภิกษุประสงค์จะไป ท่านอนุญาตให้อยู่จำพรรษาในที่นั้นได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงตำบลที่พระภิกษุนั้นประสงค์จะไป พวกคนเลี้ยงโคก็ดี หมู่เกวียนก็ดี หรือเรือโดยสารก็ดี หยุดเดินทางเพราะสิ้นสุดการเดินทาง ท่านแนะให้อยู่จำพรรษากับพระภิกษุในตำบลที่หยุดการเดินทางนั้นต่อไป ในกรณีนี้ถือว่าไม่ขาดพรรษา 

ทรงห้ามจำพรรษาในที่ไม่สมควร เช่น 
1.ในโพรงไม้ เพราะคนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกปีศาจ
2.บนกิ่งหรือค่าคบไม้ เพราะคนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือน พวกพรานเนื้อ
3.ที่กลางแจ้ง เพราะเมื่อฝนตก ก็พากันวิ่งเข้าไปสู่โพรงไม้บ้าง สู่ชายคาบ้าง แลดูไม่งาม ไม่เหมาะสมกับสมณสารูป
4.ที่ไม่มีเสนาสนะ คือที่นอนที่นั่งซึ่งไม่มีที่มุงบัง เพราะจะเดือดร้อนด้วยความหนาวบ้าง ความร้อนบ้าง ทำให้ไม่สามารถบำเพ็ญสมณธรรมได้
5.ในกระท่อมผี (คนโบราณชอบทำกระท่อมไว้ในป่าช้า เพื่อให้ผีอยู่) เพราะคนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือน พวกสัปเหร่อ
6.ในกลดหรือเต๊นท์ เพราะคนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือน พวกเลี้ยงวัว
7.ในตุ่ม เพราะคนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
Cr ; 
ใจหยุด 24 น.

คลิกชมสื่อ ประวัติความเป็นมา วันเข้าพรรษา

ไม่มีความคิดเห็น