การใช้ ม.44 เด้งผ่าฟ้าพนม ศรศิลป์ จากผอ.พศ.เป็น พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์
(บิ๊ก DSI) คือการเดินหน้าสู่โหมดการแก้กฎหมายรีดเงินวัดและรีดภาษีพระอย่างเต็มสูบ ???
หวยจึงไปออกที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากรจาก DSI ซึ่งเป็นโคตรเซียนเรื่องกฎหมายภาษีอากรมือหนึ่ง ของ DSI ที่รัฐบาลหวังพึ่งให้มาจัดการวัดจัดการพระ
นี้คือการปูทางโรยด้วยดอกกุหลาบให้แม่น้ำสายที่ 2 แก้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยึดเงินวัดและรีดภาษีพระให้เสร็จสิ้นโดยเร็วและรวบรัดที่สุด
แม้จะมีเสียงทักท้วงจากพระเถระดังระงมไปทั่ว ให้รัฐบาลคสช. ปรึกษา มส. ก่อนได้ไหม
แต่รัฐบาล คสช. ก็ไม่สน ถือเป็นเสียงนกเสียงกาเท่านั้น
นอกจากไม่สนแล้ว ยังใช้ ม44 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปกติกำหนดไว้ให้ใช้จัดการเรื่องเลวร้ายสุด ๆ และความมั่นคงของประเทศ
จึงต้องใช้ ม.44 เปลี่ยนหัวหน้าหน่วยงานที่เป็นมือเป็นไม้ของสมเด็จพระสังฆราชในฐานะประมุข มส. มหาเถรสมาคม และคณะสงฆ์
จึงคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากการเอาคนของรัฐบาลเข้ามาคุมประมุขสงฆ์ องค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์(มส) และพระสงฆ์ไทยทั้งหมดให้อยู่ในแถว
นี้แสดงว่า ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชก็ไม่สามารถช่วยอะไร มส. คณะสงฆ์ และพระสงฆ์ไทยได้เลย
ท่าทีต่อ มส. ต่อพระผู้ใหญ่ ต่อพระเถระ และต่อพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาโดยภาพรวมของผู้นำรัฐบาลเป็นเช่นใดตั้งแต่ต้น ถึงวันนี้ดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายจนกู่ไม่กลับ
วันนี้ ประจักษ์ชัดแล้วว่า พระสงฆ์ไทยในพระพุทธศาสนาในประเทศไทยไม่เคยอยู่ในสายตาของหัวหน้ารัฐบาลเลย
หัวหน้ารัฐบาลจึงแสดงท่าทีไม่ให้เกียรติ ไม่ให้ความเคารพและแทรกแซงควบคุมพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นฝ่ายศาสนจักรตามอำเภอใจ
การรุกครั้งนี้
ยิ่งแสดงให้เห็นว่า นับวันพระพุทธศาสนาในไทยยิ่งสั่นคลอนง่อนแง่น ไร้ที่ยืนเข้าไปทุกขณะ
เป็นไปดั่งพุทธทำนาย และหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า พระพุทธศาสนาจะตั้งมั่นหรือสูญสลาย นอกจากขึ้นอยู่กับพุทธบริษัทแล้ว สำคัญสุดขึ้นอยู่กับอำนาจรัฐและระบอบการปกครอง เช่น การสูญสิ้นของพระพุทธศาสนาในอินเดีย ผืนแผ่นดินแม่ สถานการณ์พระพุทธศาสนาที่เลวร้ายในเวียตนาม เป็นต้น
ขอบคุณรูปภาพจาก Google.com
ไม่มีความคิดเห็น