ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

คำทำนาย 12 รัชกาลแห่งประเทศสยาม และชะตาเมือง ที่โหรหลวงในสมัยรัชกาลที่ 1 เคยทำนายเอาไว้ แม่นตรงทุกรัชกาล


คำทำนาย 12 รัชกาลแห่งประเทศสยาม และชะตาเมือง ที่โหรหลวงในสมัยรัชกาลที่ 1 
เคยทำนายเอาไว้ แม่นตรงทุกรัชกาล


ในรัชกาลสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีผู้เฒ่าเล่ากันต่อๆ มาว่า ในรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก วันหนึ่งเวลาเย็น ขณะที่ท่านประทับอยู่ ณ ตำหนัก ท่านได้ตรัสต่อพระโหราว่า
“ฉันจะให้ท่านพยากรณ์โชคชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์ว่า ต่อไปเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไร”
พระโหราจึงกราบทูลว่า
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า การถวายคำพยากรณ์โชคชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรื่องสำคัญจำจะต้องตรวจการพยากรณ์ด้วยความระมัดระวัง ต้องใช้เวลาถึง 3 วันจึงจะกราบทูลถวายคำพยากรณ์ได้”
แล้วท่านโหราธิบดีได้จด วัน เวลา เดือนปี ของวันที่ลงหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ ตามที่พระพุทธยอดฟ้ารับสั่ง แล้วจึงกราบทูลลากลับไป พอครบ 3 วัน พระโหราฯ จึงมาเฝ้าตามที่นัดเอาไว้ และได้ถวายคำพยากรณ์เป็น 12 ยุค (12 รัชกาล) ดังนี้

รัชกาลที่ 1 ชื่อว่า มหากาฬ
รัชกาลของพระองค์นี้มืดมาก พระองค์ไม่รู้ที่จะดำเนินรัฐประศาสนโยบายของประเทศไปในทางไหนดี เพราะเป็นระยะเริ่มก่อสร้างกรุง
รัชกาลที่ 2 ชื่อว่า พาลยัคฆ์
ผู้ที่รับมอบสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ จะเป็นพระเต้าแผ่นดินที่อ่อนแอ ไม่มีความสามารถในการปกครอง
รัชกาลที่ 3 ชื่อว่า รักมิตร
จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงโปรดที่จะทำสัญญาผูกสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศอย่างมาก
รัชกาลที่ 4 ชื่อว่า สถิตย์ธรรม
จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพอพระทัยฝักใฝ่ในทางธรรม และพระพุทธศาสนาอย่างมาก
รัชกาลที่ 5 ชื่อว่า จำแขนขาด
จะมีการเสียดินแดนให้แก่ต่างประเทศด้วยความจำใจ
รัชกาลที่ 6 ชื่อว่า ราชโจรัญ
จะมีพระราชาที่เปรียบเสมือนโจร คือพระเจ้าแผ่นดินที่จับจ่ายใช้สอยทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาก
รัชกาลที่ 7 ชื่อว่า ทันฑ์ทุกข์
จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มารับเคราะห์หนักตลอดรัชสมัย ผู้คนพลเมืองต้องประสบกับภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” ผู้คนอดอยาก แร้นแค้นด้วยสภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และผลสืบเนื่องมาจากการฟุ้งเฟ้อในรัชกาลก่อน มีการปลดข้าราชการออกเพราะไม่มีเงินเบี้ยหวัด เงินปีให้ เป็นสมัยที่เริ่มให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงร้องทุกข์ แสดงความคิดเห็นจนกระทั่งมีการกระทำที่รุนแรงถึงขั้น ปฏิวัติยึดอำนาจ ให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ มาเป็นประชาธิปไตย จนในที่สุดพระองค์ต้องทรงสละราชสมบัติ และเสด็จไปสวรรคต ณ ต่างประเทศ
รัชกาลที่ 8 ชื่อว่า ยุคทมิฬ
ยุคที่มีเรื่องเลวร้ายหลายประการ เช่น สงครามโลก การเสียชีวิตของ ร.8 และการครองอำนาจโดยเผด็จการทหาร ที่ต่อเนื่องไปถึงต้นยุครัชกาลที่ 9 จนเกิดกรณี 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 ประชาชาติจะต้องเสียสละทรัพย์สมบัติและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาไว้ของส่วนใหญ่อันเป็นที่รัก
รัชกาลที่ 9 ชื่อว่า ถิ่นสกาว
ผู้ที่สืบสันตติวงค์ราชสมบัติต่อมา จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีบุญญาธิการ ประเทศเจริญรุ่งเรือง คือยุครัชกาลปัจจุบันที่ได้รับอารยธรรมตะวันตกมามาก วิทยาการตะวันตกเฟื่องฟูในประเทศไทย รวมทั้งมีการติดต่อกับชาวต่างชาติอย่างกว้างขวาง
รัชกาลที่ 10 ชื่อว่า ชาวศรีวิไล
ประชาชนพลเมืองจะถึงซึ่งอารยธรรมอันแท้จริงในยุคนี้ ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรื่องยิ่ง ทั้งทางวิชาการ เศรษฐกิจ และ จริยธรรม พวกมิจฉาทิษฐิและอธรรมจะเสื่อมสิ้นไป หากไม่ตายด้วยคมหอกคมดาบ ก็จะต้องตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเป็นยุคของอารยชนที่มีจิตใจเป็นธรรมเท่านั้น
ยุคที่ 11 ชื่อว่า ไทยมหารัฐ
ประเทศจะเป็นมหาอำนาจในยุคนี ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของนานาชาติทางด้านสันติภาพ นานาชาติต่างมาเจรจาสันติภาพสงบศึกการรบที่เมืองไทย จะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก มีเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญที่สุดในโลก และเป็นศูนย์การท่องเที่ยวของโลก โดยจะบังเกิดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่เกิดขึ้น ผู้คนจะหลั่งไหลมาที่นี่เพื่อชื่นชมสิ่งนี้ ไทยจะเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธของโลก
ยุคที่ 12 ชื่อว่า จักรพรรดิราช
พระเจ้าแผ่นดินจะเป็นถึงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ในยุคนี้ พระราชาองค์นี้ จะมีบารมีพิเศษ เสด็จจุติมาจากสวรรคาลัยชั้นดุสิต เขตบรมพระโพธิสัตว์ ทรงมีบารมีมากกว่าผู้นำประเทศคนใดในโลก ในตอนนั้นประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจทางวัฒนธรรม นานาชาติจักให้ความเคารพยำเกรงยิ่งกว่าประเทศที่มีอาวุธทรงพลานุภาพ ภาษาไทยจะเป็นภาษากลางของโลก


ขอบคุณรูปภาพจาก Google.com

ไม่มีความคิดเห็น