ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มาจากที่ใดบ้าง

แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มาจากที่ใดบ้าง

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

พระมหากษัตริย์ที่จะขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ในขั้นตอนการเตรียมพิธีจะต้องมีการตักน้ำจากแหล่งสำคัญสำหรับนำมาเป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษก และเพื่อทำน้ำอภิเษกก่อนที่จะนำไปประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งน้ำที่นำมาจะต้องมีความพิเศษกว่าน้ำธรรมดาทั่วไป

โดยตามตำราโบราณของพราหมณ์ จะต้องเป็นน้ำที่มาจาก “ปัญจมหานที” หรือ แม่น้ำสายสำคัญ 5 สายในชมพูทวีป ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมนา แม่น้ำมทิ แม่น้ำอจิรวดี และแม่น้ำสรภู โดยน้ำในแม่น้ำทั้ง 5 จะไหลมาจากเขาไกรลาส ซึ่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และที่สถิตของพระอิศวร
สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยอยุธยาแม้จะมีการกล่าวถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่ก็ไม่พบหลักฐานการนำน้ำปัญจมหานทีในชมพูทวีปมาใช้ในราชพิธี ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าการเดินทางไปกลับระหว่างประเทศไทยในอดีตและประเทศอินเดียเป็นไปได้ยากที่จะนำน้ำจากปัญจมหานทีมาใช้ได้ เพราะตามธรรมเนียมประเพณีมาแต่เดิม เมื่อกษัตริย์พระองค์ใดเสด็จผ่านพิภพ จะต้องทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกภายใน 7 วัน หรืออย่างช้าภายในเดือนเศษ เป็นประเพณีสืบมาและกระทำกันก่อนที่จะถวายพระราชเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน จึงสันนิษฐานได้ว่า ถ้าจะนำน้ำมาจากชมพูทวีปจึงเป็นไปไม่ได้
แต่จากหลักฐานการใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มาใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ปรากฏในหลักศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไทแห่งสุโขทัยที่ได้กล่าวถึงพ่อขุนผาเมืองอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เป็นผู้ปกครองสุโขทัย และข้อความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132) ว่า “น้ำพุที่ออกมาจากเขาลิงคบรรพตข้างบนวัดภูใต้นครจำปาศักดิ์นั้นใช้เป็นน้ำอภิเษก” ในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏหลักฐานการใช้น้ำสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจากน้ำในสระเกษ สระแก้ว สระคา สระยมนา ในแขวงเมืองสุพรรณบุรี เท่านั้น
ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนอกจากจะใช้น้ำจากแหล่งเดียวกันกับในสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว ยังนำน้ำจากแม่น้ำสายสำคัญอีก 5 สาย เรียกกันว่าเบญจสุทธิคงคา ซึ่งตักมาจากเมืองต่างๆ ดังนี้
1. น้ำในแม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าไชย จังหวัดเพชรบุรี
2. น้ำในแม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม
3. น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่บางแก้ว จังหวัดอ่างทอง
4. น้ำในแม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ จังหวัดสระบุรี
5. น้ำในแม่น้ำบางประกง ตักที่ตำบลพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก
โดยน้ำแต่ละแห่งจะตั้งพิธีเสก ณ ปูชนียสถานสำคัญแห่งเมืองนั้น เมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงจัดส่งเข้ามาทำพิธีการต่อที่พระนคร
นอกจากนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์เป็นพระครูพระปริตไทย 4 รูป สำหรับสวดทำน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีสรงมุรธาภิเษก จึงมีน้ำพระพุทธมนต์เพิ่มขึ้นอีกอย่าง
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปี พ.ศ. 2411 ก็ใช้น้ำเบญจสุทธิคงคา และน้ำในสระ 4 สระ เมืองสุพรรณบุรี เป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษกและน้ำอภิเษกเช่นเดียวกับเคยใช้ในรัชกาลก่อนๆ ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ. 2415 ทรงได้นำน้ำปัญจมหานทีที่มีการบันทึกในตำราของพราหมณ์ กลับมายังประเทศสยามด้วย และในปี พ.ศ. 2416 เมื่อพระองค์ได้ทรงกระทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 น้ำสรงมุรธาภิเษก จึงเพิ่มน้ำปัญจมหานทีลงในน้ำเบญจสุทธิคงคาและน้ำในสระทั้ง 4 ของเมืองสุพรรณบุรีด้วย
เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. 2453 ทรงใช้น้ำมุรธาภิเษก และน้ำอภิเษกจากแหล่งเดียวกันกับรัชกาลที่ 5 ต่อมาเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชในปี พ.ศ. 2454 นอกจากใช้น้ำเบญจคงคา น้ำปัญจมหานทีและน้ำทั้ง 4 สระจากสุพรรณบุรีแล้ว ยังได้ตักน้ำจากแหล่งอื่นๆ และแม่น้ำตามมณฑลต่างๆ ที่ถือว่าเป็นแหล่งสำคัญและเป็นสิริมงคล มาตั้งทำพิธีเสกน้ำพุทธมนต์ ณ พระมหาเจดียสถานที่เป็นหลักพระมหานครโบราณ 7 แห่ง ได้แก่
1. แม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ ทำพิธีเสกน้ำที่พระพุทธบาท โดยใช้น้ำสรงรอยพระพุทธ ทำพิธีเสกน้ำด้วย โดยถือว่าพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เป็นปูชนียสานที่สำคัญในมณฑลที่เป็นที่ตั้งของเมืองละโว้และกรุงศรีอยุธยา
2. น้ำที่ทะเลแก้วและสระแก้ว เมืองพิษณุโลก และน้ำจากสระสองห้อง ทำพิธีที่พระวิหาร พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นปูชยสถานที่สำคัญของหัวเมืองฝ่ายเหนือ
3. น้ำที่กระพังทอง กระพังเงิน กระพังช้างเผือก กระพังไพยสี โซกชมพู่ น้ำบ่อแก้ว น้ำบ่อทอง แขวงเมืองสวรรคโลก ไปทำพิธีในวิหารวัดพระมหาธาตุ เมืองสวรรคโลก ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญมาแต่ครั้งสมเด็จพระร่วงเจ้าในสมัยสุโขทัย (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสุโขทัย)
4. ตักน้ำในแม่น้ำนครชัยศรี ที่ตำบลบางแก้ว น้ำกลางหาว บนองค์พระปฐมเจดีย์ น้ำสระพระปฐมเจดีย์ น้ำสระน้ำจันทร์ ทำพิธีที่พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญตั้งแต่สมัยทวารวดี
5. น้ำที่บ่อวัดหน้าพระลาน บ่อวัดเสมาไชย บ่อวัดเสมาเมือง บ่อวัดประตูขาว ห้วยเขามหาชัย และน้ำบ่อปากนาคราช ไปตั้งทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญในจังหวัดนครศรีธรรมราช 
6. น้ำที่บ่อทิพย์ เมืองนครลำพูน ตั้งทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุหริภุญไชย ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญในหัวเมืองฝ่ายเหนือ คือ นครหริภุญไชย นครเขลางค์ นครเชียงแสน นครเชียงราย นครพระเยา และนครเชียงใหม่ 
7. น้ำที่บ่อวัดพระธาตุพนม ทำพิธีเสกน้ำที่วัดพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม มณฑลอุดร ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญของเมืองโคตรบูรณ์ในสมัยโบราณ (ภาคอีสาน) และยังได้ตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปตั้งทำพิธีเสกน้ำ ณ วัดสำคัญในมณฑลต่างๆ อีก 10 มณฑล คือ
1. วัดบรมธาตุ และวัดธรรมามูล จังหวัดชัยนาท มณฑลนครสวรรค์
2. น้ำสระมหาชัย น้ำสระหินดาษ ทำพิธีเสกน้ำที่วัดยโสธร เมืองฉะเชิงเทรา มณฑลปราจีนบุรี
3. น้ำสระแก้ว น้ำสระขวัญ น้ำธารปราสาท น้ำสระปักธงชัย ทำพิธีเสกน้ำที่วัดพระนารายณ์มหาราช (เดิมชื่อวัดกลาง) จังหวัดนครราชสีมา มณฑลนครราชสีมา
4. น้ำท่าหอชัย น้ำกุดศรีมังคละ น้ำกุดพระฤาชัย ทำพิธีเสกน้ำที่วัดศรีทอง เมืองอุบลราชธานี มณฑลอีสาน
5. น้ำสระแก้ว น้ำธารนารายณ์ ทำพิธีเสกน้ำที่วัดพลับ เมืองจันทบุรี มณฑลจันทรบุรี
6. ตักน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญที่อำเภอต่างๆ มาทำพิธีที่วัดพระธาตุ เมืองไชยา มลฑลชุมพร
7. น้ำสระวังพลายบัว น้ำบ่อทอง น้ำบ่อไชย น้ำบ่อฤาษี น้ำสะแก้ว ทำมาพิธีเสกน้ำที่วัดตานีนร-สโมสร เมืองตานี มณฑลปัตตานี
8. น้ำเขาโต๊ะแซะ น้ำเขาต้นไทร ทำพิธีเสกน้ำที่วัดพระทอง เมืองถลาง มณฑลภูเก็ต
9. วัดมหาธาตุ เมืองเพชรบูรณ์ มณฑลเพชรบูรณ์
10. วัดพระมหาธาตุ เมืองเพชรบุรี มณฑลราชบุรี
รวมสถานที่ทำน้ำอภิเษก 17 แห่ง และน้ำอภิเษกนี้ยังคงใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจนกระทั่งทุกวันนี้
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษกที่หัวเมืองมณฑลต่างๆ รวม 18 แห่ง ซึ่งสถานที่ตั้งทำน้ำอภิเษกในรัชกาลนี้ใช้สถานที่เดียวกันกับในสมัยรัชกาลที่ 6 เพียงแต่เปลี่ยนจากวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์ มาตั้งที่พระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ และเพิ่มอีกหนึ่งแห่งที่ พระลานชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้นำน้ำตามมณฑลต่างๆ 18 แห่ง เช่นเดียวกันกับในสมัยรัชกาลที่ 7 แต่เปลี่ยนสถานที่จากพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ มาตักน้ำบ่อแก้ว และทำพิธีเสกน้ำที่พระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญในจังหวัดน่านแทน
เมื่อได้น้ำอภิเษกที่ได้ตั้งพิธีเสก ณ มหาเจดียสถานและพระอารามต่างๆ แล้ว เจ้าหน้าที่จะนำมายังพระนครก่อนหน้ากำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยอัญเชิญตั้งไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนกว่าจะถึงวันงานจึงอัญเชิญเข้าพิธีสวดพุทธมนต์ เสกน้ำ ณ พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ต่อไ
อาจกล่าวได้ว่า น้ำถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่นับถือพระอิศวร ซึ่งพระองค์ประทับ ณ เขาไกรลาศ จึงเชื่อกันว่า น้ำที่มาจากเขานี้เป็นน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงนำมาประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์ เพื่อแสดงถึงการมีอำนาจเป็นผู้ปกครองอย่างสมบูรณ์แบบ
ถึงแม้ว่าการนำน้ำจากปัญจมหานที เป็นไปได้ยากมากในอดีต จึงมีการหาแหล่งน้ำที่สำคัญๆ เพื่อใช้แทนน้ำปัญจมหานทีจากอินเดีย
โดยในประเทศไทยพบว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยอยุธยามีการนำน้ำมาจากสระทั้ง 4 ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีการนำน้ำจากแหล่งต่างๆ เพิ่มอีก 5 สาย เรียกว่า เบญจสุทธิคงคา
จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ในคราวที่เสด็จเยือนประเทศอินเดียจึงได้มีการนำน้ำปัญจมหานทีมาเป็นน้ำอภิเษกเพิ่มและในสมัยรัชกาลที่ 6 พบว่ามีการนำน้ำจากแหล่งต่างๆ ตั้งพิธีเสก ณ มหาเจดียสถานสำคัญๆ จำนวน 7 แห่ง และจากวัดต่างๆ ใน 10 มณฑล
ซึ่งจะเห็นได้ว่า แหล่งน้ำเหล่านี้มาจากทั่วทุกภาคของไทย อาจมีความหมายเป็นนัยของ
การถวายพระราชอำนาจแด่องค์พระมหากษัตริย์โดยใช้น้ำอภิเษกเป็นสัญลักษณ์

ไม่มีความคิดเห็น