ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ จากบทความหนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา ตอนที่ 21

เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ จากบทความหนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา ตอนที่ 21

หลวงพ่อท่านจะคอยถามว่าทำสมาธิไปถึงไหนแล้ว ท่านก็จะสั่งมาว่าให้ทำอย่างนั้นๆ ถึงเวลา 4-5 โมงเย็น หลวงพ่อจะสั่งงานวิชชาเป็นอย่างนั้นๆ แล้วทุกคนก็ต้องทำให้ได้อย่างนั้น พอหมดเวลาแต่ละคนเห็นอะไรบ้างก็มาเล่าให้ฟัง สิ่งที่เห็นในสมาธิตรงกันหรือไม่ แล้วก็มาพูดกัน เวลาที่ทำวิชชาเก่งก็สามารถกำหนดรู้ได้ว่าใครคิดอะไร หยุดแค่นี้ไม่พอ ศูนย์ที่หยุดตรงหรือไม่ตรง แต่ละคนทำวิชชาจนกระทั่งเชี่ยว หลวงพ่อสามารถบอกได้ ท่านพูดออกมา แม้ในสมัยพุทธกาล คนนี้มีปัญญา คนนี้มีฤทธิ์ คนนี้สามารถทายใจคนอื่นได้ ก็เก่งไปคนละอย่าง สอนแล้วเป็นได้เลย

ธรรมกายรักษาโรคก็ได้ ใช้สมาธิ เขามีวิธี ต้องไปเรียนรู้ สมัยก่อนที่คนเป็นโรคอะไรต่ออะไร เขาจะเขียนใบบอกอาการโรคไว้ แล้วก็ให้หลวงพ่อ ตอนที่ท่านรับแขก แล้วแม่ชีก็จะมารับใบสั่งไปแก้ไขโรคให้ แต่ถ้าใครมีกรรมหนักมากๆก็ไม่หาย บางคนที่กรรมน้อยหน่อยแก้ไขอะไรไปและ เจ้าของสนใจทำสมาธิก็ได้ผล มีแขกอินเดียมาหาหลวงพ่อตอนที่ท่านลงรับแขก แกเป็นอัมพาตแล้วมานั่งธรรมะ ก็ทำให้ดีขึ้น

ชุดที่นั่งสมาธิกับหลวงพ่อมีราวๆ 30-40 คน ช่วงสงครามโลกครั้งที่2 หลวงพ่อท่านไม่ให้ออกไปไหน ให้รวมๆกันไว้ เวลาทำวิชชาคนยิ่งมากยิ่งดี แล้วการทำวิชชาดับดาวก็มีจริง หลวงพ่อเป็นคนสอน สามารถดับได้ ดับได้จริง แล้วมีคนเห็นพระพุทธเจ้าลอยอยู่บนท้องฟ้าในวันวิสาขบูชา สามารถเห็นด้วยตาเนื้อ หลวงพ่อท่านอาราธนามา การทำวิชชาถ้าสามารถไปถึงที่สุดได้ ก็ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หมายความว่าหลุดออกไปจากกิเลสพวกนี้ หลวงพ่อท่านยังทำหยุดนิ่งตลอด แต่ก็ยังไปไม่ถึงที่สุด ก็เลยยังแพ้มัจจุราชอยู่ หลวงพ่อท่านเคยเอาร่างของโยมแม่ไว้เพื่อจะทำให้ฟื้นขึ้นมา เอาไว้ตั้ง 14 ปี แต่สุดท้ายก็ต้องเผา เพราะว่าหลวงพ่อท่านป่วย ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ หลวงพ่อท่านก็เคยสั่งเสียคณะทำวิชชาว่าให้ทำกันต่อไป คือตอนทำวิชชาจะเปลี่ยนเป็นชุดๆ ชุดนั้นออก ชุดนี้เข้า ก็ได้ยินท่านสั่งอย่างนี้

หลวงพ่อท่านบอกว่าต้องการช่วยคนให้พ้นทุกข์ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำจะว่าใจดีก็ใจดี จะว่าดุก็ดุและท่านเป็นคนตรง ถ้าเห็นว่าเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ขนาดสมเด็จวัดโพธิ์เป็นหลานของท่าน ท่านบอก "เฮ้ย! ของเรามันถูกอยู่แล้วแน่นอนอยู่แล้วจะไปกลัวอะไร" เคยมีสมัยก่อนคณะเนกขัมม์ปลูกกุฏิเป็นหลังๆให้พระที่ทำกรรมฐาน ตอนนั้นกำลังสร้างได้ไม่กี่หลัง วันนั้นสมเด็จวัดโพธิ์สมัยท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จ ท่านมาที่ศาลาฉันข้าว มีใครก็ไม่รู้มาถามหลวงพ่อ "วันนี้มีใครรับสร้างกุฏิหรือเปล่า" หลวงพ่อท่านบอก "มีซิ" สมเด็จท่านรอตั้งนานว่าจะมีคนมาสร้างไหม จนกระทั่งฉันเสร็จคนก็เดินกันมาหลายคน มากราบหลวงพ่อ เขาเดินผ่านมาเห็นว่ากำลังสร้างกุฏิหลังเล็กๆ เขาก็ศรัทธาอยากจะสร้าง หลังละเท่าไรแล้วเขาก็รับไป เท่าไรไม่ทราบ ทีหลังสมเด็จบอกว่าท่านพูดตรงเกินไป "อ้าว ! เป็นของจริงกลัวอะไร" ท่านพูดออกไป แล้วก็เป็นไปตามนั้น

อย่างท่านบอกว่าสมเด็จวัดโพธิ์จะได้เป็นสังฆราช ไม่น่าเชื่อไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นจริง เพราะว่าคนที่รอจะขึ้นเป็นสังฆราชมีอยู่อีกองค์ คือพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ถ้าสังฆราชองค์เก่าสิ้น พระวัดมหาธาตุต้องได้ขึ้นแน่นอนแต่พอดีมีเรื่องเกิดขึ้น ก็มาเป็นวัดโพธิ์ ท่านจะพูดเฉพาะเรื่องที่จำเป็น คิดไม่ถึง ถึงเวลาจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นดังที่หลวงพ่อพูดไว้ทุกครั้ง

Cr : สิงหล เพจบุคคลยุคต้นวิชชา
บทความจากหนังสือบุคคลยุคต้นวิชชา ตอนที่ 21 (เรื่องเล่าโดย คุณยายฉลวย สมบัติสุข บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม1)
คลิกฟัง File เสียง บุคคลยุคต้นวิชชา ตอนที่ 21

ไม่มีความคิดเห็น