ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

ฆ่าล้างโคตร พระนางมัลลิกา


พระนางมัลลิกามีบทบาทสำคัญในทางพระพุทธศาสนามีอยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นธิดานายมาลาการ(ช่างทำดอกไม้) ในเมืองสาวัตถี ต่อมาได้เป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางมัลลิกาอีกคนหนึ่งเป็นธิดาของมัลลกกษัตริย์องค์หนึ่ง ในเมืองกุสินารา ภายหลังได้สมรสกับพันธุลเสนาบดี ซึ่งพระนางมัลลิกาที่ได้ศึกษาในที่นี้ หมายถึง พระนางผู้เป็นภรรยาของพันธุลเสนาบดี

พันธุระเสนาบดีนั้น เป็นโอรสของพระเจ้ามัลละในเมืองกุสินารา เป็นศิษย์ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักเดียวกันกับปเสนทิกุมารแห่งแคว้นโกศล เมื่อจบศิลปวิทยากลับไปยังกุสินารานคร ได้แสดงศิลปวิทยาที่ได้ฝึกฝนอบรมมาแห่งสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ให้เหล่ามัลลกกษัตริย์ชมแต่ถูกเจ้ามัลละบางพวกแกล้ง ทำให้การแสดงนั้นไม่ดีเท่าที่ควร ด้วยความน้อยใจจึงหนีไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารของปเสนทิกุมาร ซึ่งขณะนั้นได้ครองราชย์สมบัติเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล แล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงสถาปนาพันธุละในตำแหน่เสนาบดี พันธุลเสนาบดีก็ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุรพระเจ้าปเสนทิโกศลด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

สำหรับพันธุลเสนาบดีผู้นี้ได้ทำการสมรสกับเจ้าหญิงมัลลิกา พระธิดาของกษัตริย์มัลละภายหลังแต่งงานแล้วเป็นเวลานาน พระนางมัลลิกาก็ยังไม่มีบุตรไว้สืบตระกูล จนสามีคิดว่าพระนางเป็นหมัน จึงส่งพระนางกลับตระกูลของตน (ตามความเชื่อของชาวชมพูทวีปสมัยนั้นถือว่าสตรีที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรสืบสกุลให้สามีเป็นคนอาภัพ จะต้องถูกส่งตัวกลับยังตระกูลเดิมของตนทันที) พระนางมัลลิการู้สึกเสียใจมาก แต่ก็สู้อดกลั้นไว้ คิดว่าก่อนจะกลับไปเมืองกุสินาราบ้านเกิดของตนจะไปถวายบังคมพระพุทธเจ้าก่อน จึงไปถวายบังคมพระพุทธองค์ที่พระเชตวัน

พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “เธอจะไปไหน” พระนางกราบทูลว่า “ดิฉันจะกลับไปยังเมืองเกิด เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรแก่สามีได้ จึงถูกส่งตัวกลับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าเธอจะกลับเพราะเหตุนี้ ไม่ต้องกลับก็ได้”

พระนางรู้สึกดีใจ จึงเดินทางกลับบ้านทันที เมื่อสามีถามสาเหตุของการกลับมา พระนางจึงแจ้งพระดำรัสของพระพุทธองค์ให้ทรงทราบ ผู้เป็นสามีเมื่อทราบแล้วก็ปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

อยู่มาไม่นานพระนางจึงแพ้ท้องอยากลงอาบและดื่มน้ำในสระโบกขรณี อันเป็นสระน้ำมงคล และเป็นที่หวงแหนของพระเจ้าลิจฉวีเมืองไพศาลี สระนี้ได้รับการอาลักขาอย่างแข็งแรงขึงตาข่ายไว้โดยรอบ พันธุระเสนาบดีอุ้มภริยาขึ้นรถถือธนูคู่ชีพ ขับออกไปจากเมือง มุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองไพศาลี

เมื่อพันธุระเสนาบดีเข้าไปยังเมืองไพศาลีแล้ว ก็มุ่งตรงไปยังสระโบกขรณี ถือแส้หวายหวดเหล่าทหารผู้อารักขาสระน้ำจนแตกกระจาย ตัดตาข่ายโลหะให้ภริยาลงอบน้ำ ดื่มน้ำแล้วอุ้มขึ้นรถห้อตะบึงกลับ พวกเจ้าลิจฉวีเมื่อทราบว่ามีผู้บุกรุกสระน้ำศักดิ์ศิทธิ์ของตน จึงพากันออกติดตาม ขณะนั้นมหาลิ สหายร่วมสำนักของพันธุลเสนาบดี ซึ่งบัดนี้ตาบอดสองข้าง และเป็นอาจารย์ของลิจฉวีราชกุมารทั้งหลาย ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและล้อรถวิ่งผ่านไป รู้ทันทีว่าเป็นพันธุลเสนาบดี จึงห้ามพวกลิจฉวีไม่ให้ตามไปเพราะจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต แต่พวกเจ้าลิจฉวีไม่เชื่อฟัง

พันธุลเสนาบดีบอกภริยาว่า ถ้ารถม้าที่ตามมาปรากฏเป็นแนวเดียวกันเมื่อใดให้บอกทันที เมื่อพระนางมัลลิกาได้บอกว่ารถได้เรียงแถวเป็นแนวเดียวกันหมดแล้ว พันธุลเสนาบดีได้โก่งคันศรปล่อยธนูแล่งด้วยความเร็วเจาะเกาะทะลุหัวใจของมัลลกษัตริย์ 500 คนพร้อมกันสิ้นชีวิตทั้งหมด

ต่อมาพระนางมัลลิกาก็ได้คลอดบุตรรวม 32 คน บุตรทั้งหมดเจริญเติบโตเต็มวัยแล้ว ก็ได้เรียนศิลปวิทยาสำเร็จกันทุกคน แต่ละคนก็มีบุรุษบริวารจำนวนพันคน อยู่มาวันหนึ่งท่านพันธุลเสนาบดีได้ทราบว่าพวกอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดีด้วยความไม่ซื่อสัตย์สุจริต จึงวินิจฉัยคดีเสียเอง โดยให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าทุกข์ ทำให้ประชาชนแซ่ซ้องสาธุการกันมาก เรื่องรู้ไปถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงมอบหน้าที่วินิจฉัยคดีแก่พันธุลเสนาบดีอีกตำแหน่งหนึ่ง พวกตุลาการที่หลุดจากตำแหน่ง จึงอิจฉาหาทางยุยงพระราชาว่าพันธุลเสนาบดีกำลังคิดก่อการกบฏหลายอยู่หลายครั้ง จนพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงเชื่อ จึงหาอุบายให้พันธุลเสนาบดีไปปราบโจรที่ชายแดน และทรงส่งทหารไปดักฆ่าพันธุลเสนาบดีพร้อมบุตรชาย 32 คน จนสิ้นชีวิตทั้งหมด

วันที่พันธุลเสนาบดีและบุตรชายทั้งหมดถูกฆ่า พระนางมัลลิกาได้นิมนต์พระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระสาลีบุตรและพระโมคคัลลานะ พร้อมภิกษุ 500 รูป ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน เช้าวันนั้น มีคนนำจดหมายมาแจ้งว่าสามีและบุตรของพระนางถูกโจรฆ่าตายทั้งหมดสิ้น เมื่อพระนางทราบเรื่องแล้วก็ทรงพยายามหักห้ามความเศร้าโศกไว้ เหน็บจดหมายไว้ที่ชายพก ยังคงถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะนั้นสาวใช้ถือถาดเนยใสเข้ามา ทำถาดตกแตกต่อหน้าพระสารีบุตรเถระ พระสารีบุตรกล่าวสอนว่า “ของที่จะต้องแตกเป็นธรรมดา ก็แตกไปแล้วไม่ควรคิดอะไรมาก”

พระนางมัลลิกาจึงนำจดหมายออกจากชายพกเรียนต่อพระเถระว่า “ดิฉันได้ข่าวว่าสามีและบุตรชายทั้ง 32 คนตายเสียแล้ว เมื่อเช้านี้ยังไม่คิดอะไร เพียงแค่ถาดเนยใสแตก จะคิดอะไรเล่า” พระสารีบุตรเถระได้เทศนาสอนให้นางมัลลิกาเข้าใจชีวิตด้วยคาถาสั้นๆว่า “ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีนิมิตหมาย ตายที่ไหน เมื่อใด ด้วยอาการอย่างไร สั้นนัก เป็นอยู่ลำบากและประกอบด้วยความทุกข์”

พระนางมัลลิกาเรียกสะใภ้ทั้ง 32 คนมาให้โอวาทว่า สามีของพวกเธอไม่มีความผิด แต่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน พวกเธออย่าได้เศร้าโศกไปเลย และอย่าผูกอาฆาตพยาบาทผู้ที่เป็นต้นเหตุให้สามีของพวกเธอตาย

ทหารผู้สอดแนม ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งมาได้นำข้อความที่พระนางมัลลิกาสอนแก่สะใภ้ไปกราบทูลให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบ พระองค์ทรงสลดพระราชหฤทัยที่หลงเชื่อคนผิด ทำให้พันธุลเสนาบดีผู้ซื่อสัตย์พร้อมบุตรต้องเสียชีวิต และทรงซาบซึ้งในน้ำใจอันดีงามของพระยางมัลลิกา จึงเสด็จไปทรงปลอบใจพระนางถึงที่พัก ทรงขอโทษที่ทรงเป็นต้นเหตุให้สามีและบุตรของพระนางเสียชีวิต และพระราชทานพระบรมราชานุญาติให้พระนางมัลลิกาและสะใภ้ทั้ง 32 คน กลับไปกุสินารานครตามเดิม

เรื่อง ฆ่าล้างโคตร
โดย พระอาจารย์เอกพล สุขปาโล
ผู้สรุปเนื้อหา : แซ่ Wang(王) Design
Infographic designed by : เพจการบ้าน

ไม่มีความคิดเห็น