พระที่ได้ธรรมกาย ก็ต้องมาร่วมกันเพื่อปฏิบัติธรรมตอน ๕ โมงเย็น ยังมีอีกทีตอน ๑ ทุ่ม จะต้องไปนั่นปฏิบัติธรรมในโบสถ์
ในโบสถ์นี้ก็เป็นอีกที่หนึ่ง แล้วแต่ฝ่ายอุบาสิกา ก็จะมีบ้านโยมไข่ จะมีบ้านของคณะภาวนา อันนี้ฝ่ายอุบาสิกาจากที่อื่น เลิกงานแล้วก็จะมาทำสมาธิกัน มีหลายจุด หรือที่ขึ้นธรรม ก็ไปที่ศาลาหลังเก่า จะมีแม่ชีฝึกปฏิบัติกัน ถ้ามาพักกันหลายๆ วัน ใครอยากจะอยู่วัดก็มีข้าวฟรี อาหารที่พักฟรี ไม่มีที่นอนก็ค้างได้ในโบสถ์ ในโรงงานก็ทำกันตลอดแหละ
อาตมาไม่ได้อยู่ตลอดเพราะต้องมาล้างกระโถน ต้องมาทำงานปัดกวาดโบสถ์ทุกวันเลย เพราะพระจะต้องทำวัตรสวดมนต์ลงอุโบสถ สังฆกรรม บวชพระบ้าง แล้วพระที่อยู่ข้างในท่านมาลงอุโบสถ ทุกองค์ต้องมารวมกัน รวมอุโบสถ มาตรวจศีลของตัวเอง แต่ปกติแล้วก็จะไปทำ เหมือนอย่างกับกองทัพนะ จะต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอด เข้าธรรมกายอยู่ตลอดเวลา เพื่อดูเหตุการณ์ของโลก ของจักรวาล
เวลาฉันฝ่ายพระเณรรรรมกายแยกต่างหาก พวกเปรียญพวกมหาก็นั่งอาสนะหนึ่ง ไม่ให้ปนกัน หลวงพ่อจะแยกเพื่อให้ญาติโยมได้รู้ว่าเรามีทั้งฝ่ายปริยัติคือ เล่าเรียนภาษา เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ส่วนพวกปฏิบัติ พระธรรมกายหรือฝ่ายปฏิบัติก็จะนั่งอีกจุดหนึ่ง ญาติโยมเห็นได้ชัด
ส่วนพระธรรมดาก็จะไปนั่งติดหลวงพ่อ มีมาก พระธรรมดานี้มีมาก พระมีที่ปฏิบัติแต่ยังไม่ได้ธรรมกาย ก็ต้องไปนั่งพระธรรมดา ทุกคนนี่จะต้องซักซ้อมด้วยตนเอง ต้องทำได้ และก็ถึงจะไปสอนผู้อื่นได้
จะต้องมีการชักซ้อม เหมือนปืนจะต้องมีการถอดล้างได้ ประกอบได้ วิชชาธรรมกายก็เหมือนกันจะต้องเข้าได้ออกได้คล่องแคล่ว เหมือนหญ้าปล้อง เราดึงออกมาสามารถที่จะเข้าได้ออกได้ อย่างคล่องแคล่ว สามารถที่จะใช้ทำงานอย่างรวดเร็วได้
ขับรถก็จะต้องขับด้วยความรวดเร็ว ตำแหน่งอุปกรณ์ทุกอย่างอยู่พร้อมประจำที่ วิชชาธรรมกายก็เหมือนกัน จะต้องเข้าอย่างรวดเร็ว ออกอย่างรวดเร็ว สามารถทำจิตให้สงบ เข้าธรรมกายได้แค่พริบตาเดียว
หลวงพ่อท่านก็มองเหตุการณ์ในอนาคต ว่าจะต้องมีผู้มาสืบทอดต่อวิชชารรมกายที่ท่านสอน หลวงพ่อจะพูดเสมอเลย งานนี้มันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ค้นพบมา ก็จะต้องช่วยกันรักษานะ ซึ่งก็จะต้องมีการเผยแผ่ขยายออกไป ช่วยกันดูแล ช่วยกันรับผิดชอบนะ
ก็มีการพูดถึง ตอนนั้นอาตมารู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเป็นเด็กนะ ส่วนผู้ใหญ่เขาก็อีกระดับหนึ่ง ต้องรับผิดชอบและก็ต้องรู้เรื่อง เป็นเณรก็ฟังอยู่หางแถว
แต่ก็ได้ยินอยู่ในโรงงาน หลวงพ่อพูดอะไร มันจะก้อง ได้ยินหมดเลย พูดเรื่องอะไร สั่งการอะไร ปรารภเรื่องอะไร หรือว่ามอบหมายงานอะไร แต่บางทีเราก็ไม่ได้ทำ เพราะเราก็เป็นทหารเล็กๆ ตัวเล็กๆ เป็นตัวประกอบ เป็นหางเครื่อง
หลวงพ่อท่านพูดบอกว่า หลวงตาใจนี่เป็นคนที่มั่นคงในการปฏิบัติวิชชาธรรมกาย เป็นพระที่ขยันถึงอายุจะมากกว่าเพื่อนเลย ตั้ง ๙o แล้วตอนนั้น แต่ถึงเวลาเข้าโรงงาน คือเข้าปฏิบัติแบบชั้น ๑๘ อรหันต์ หลวงตาใจจะมาเป็นองค์แรกเลย เชื่อมั้ย โอ้โหขยันจริงๆ เลย
ท่านจะเดินเข้าโรงงานที่ปฏิบัติเป็นองค์แรกเลย นั่งก่อนเพื่อน เลิกทีหลังเพื่อน ซึ่งท่านเป็นพระตัวอย่างถึงแม้จะอายุสังขาร มันไม่ค่อยจะพร้อม ไม่ค่อยจะสมบูรณ์ ไม่แข็งแรง
แต่เรื่องการปฏิบัติ เรื่องการรับผิดชอบนี่ท่านคล่องตัว เก่งกว่าพระทั้งหลาย กว่าเณรทั้งหลาย ท่านเดินนำหน้าเลย หลวงตาใจ ท่านอยู่คณะภาวนา ตอนเย็นๆ อาตมาก็มีหน้าที่ไปอ่านหนังสือธรรมะให้ท่านฟัง
อยู่มาวันหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเณรเล็กๆ อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ อายุสิบสอง สิบสาม ลิบสื่ สิบห้านั่นแหละ โตมาในวัดปากน้ำ ปฏิบัติเล่าเรียนจากที่นั่น อาตมาก็ขำอยู่วันหนึ่ง วัดปากน้ำนี่เขาบิดขวานะเวลาห่มจีวร เขาบิดขวา ทุกคนจะต้องบิดมาทางขวาเพราะว่าสมเด็จป๋า ซึ่งเป็นหลานของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
สมัยนั้นอาตมาทันนะ เออ..ซึ่งท่านก็ไปเยี่ยมวัดปากน้ำ สมเด็จป๋าวัดโพธิ์เนี่ย องค์ก่อนโน้น เป็นสังฆราชท่านก็มีนโยบาย เราเป็นมหานิกายต้องบิดขวานะ ให้มันต่างจากธรรมยุต เรามีข้อวัตรปฏิบัติไม่เหมือนเขา การห่มจีวรก็ไม่เหมือนเขาก็ต้องบิดขวา เพราะฉะนั้นวัดปากน้ำจะต้องบิดขวา ห่มบิดขวากัน เวลาห่มคลุมก็จะเป็นห่มมังกร เนี่ยเอามายัดไว้ใต้รักแร้ซ้าย แล้วก็บิดขึ้นบนไหล่ ห่มมังกร คือมหานิกาย
วันหนึ่งขำที่สุดเลย อาตมาก็ดื้อน่าดูตอนเป็นเณร จะต้องไปธุระนอกวัด พอฉันเสร็จก็ห่มจีวร แทนที่จะบิดขวาเหมือนกฎระเบียบของวัด อาตมาดื้อขัดระเบียบ ละเมิด อาตมาห่มบิดซ้ายนะสิ เดินออกจากวัดปากน้ำ ไปที่วัดขุนจันทร์เพื่อจะไปขึ้นรถที่ตลาดพลู ที่สตาร์ทรถอยู่ตรงนั้น พอดีไปเจอหลวงพ่อบนสะพานโค้งใหญ่ มันเป็นสะพานข้ามคลอง ที่วัดขุนจันทร์ วัดหมู มันมีอยู่สามวัดติดๆ กัน วัดหมู วัดขุนจันทร์ วัดอัปสรสวรรค์ แล้วก็วัดปากน้ำ มีวัดติดๆ กันเลย ข้ามคลองไปเท่านั้น เราอยู่ลึกไปหน่อยเป็นวัดปากน้ำ
อาตมาไปจ๊ะเอ๋กับหลวงพ่อบนสะพาน เราสำนึกผิดทันทีว่าเรากำลังละเมิดวินัย กฎระเบียบ ของวัด อาตมาก็ไม่รู้จะทำไง กลัวหลวงพ่อจะดุ ความที่หน้ามันบาง อาตมาก็ทำหน้ากะล่อมกะแล่ม
หลวงพ่อเดินมาจ๊ะเอ๋พอดี เราก็รีบเอาจีวรลดไหล่ลง แสดงความเคารพ เสร็จแล้วก็รีบบิดขวาทันที ต่อหน้าต่อตา กลับลำได้ทัน หลวงพ่อก็รู้กลัวเราจะอาย เสร็จแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มๆ ปกติ หลวงพ่อจะไม่ยิ้ม ท่านเป็นคนที่อยู่ในฌาณสมาบัตินะ ท่านไม่ค่อยจะเปลี่ยนอาการของท่านบ่อยๆ ขึ้นๆ ลง แต่ท่านชอบหัวเราะ... ในเทป มีเสียงของท่าน เวลาท่านพูดอะไร ท่านจะชอบหัวเราะแบบที่เป็นกำลังใจ ได้ยินแล้วก็ให้ความเบิกบานแจ่มใสแก่ผู้ฟัง ให้ความเป็นกันเองแก่ญาติโยม
หัวเราะแฮะๆ อาตมาก็ทำไม่เหมือนนะ ปกตินอกเหนือจากนั้น ท่านจะไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยหัวเราะ ท่านจะอยู่ในฌาน เวลาเดินไปไหน ออกจากโบสถ์ คล้ายๆกับว่าท่านอยู่ในสมาธิอยู่เรื่อยเลย เป็นสิ่งที่แปลก
นั่นคือประสบการณ์ที่อาตมาละเมิดกฎของวัด ห่มจีวรไม่บิดขวากลับบิดซ้าย ไปเจอหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ว่าอะไรหรอก สามเณรนี่ท่านจำได้หมดแหละ สามเณรที่นั่งฉันอาหารอยู่ด้วยกัน มีอยู่สององค์ซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวนของหลวงพ่อเลยเพราะเป็นเณรรรรมกาย
เณรองค์นี้ตัวเท่ากัน ซึ่งเขาเป็นคนรูปร่างสะอาดมาก ผิวพรรณงดงามขาว ชื่อเณรจุลณี และมีหลวงพี่โนรีอยู่ในโบสถ์ด้วยกัน หลวงพี่โนรีมีเตตาธรรม แล้วก็อยู่ด้วยกันมา โอ้โหนับสิบปี จำวัดอยู่ในโบสถ์ด้วยกัน แล้วก็อาศัยโบสถ์ รับผิดชอบงานทุกอย่าง โบสถ์เป็นที่ประกอบพิธีกรรม อาตมาลาสิกขาตอนอายุ ๒๕ ปี ไปเรียนนิติศาสตร์ รามคำแหง พอจบปริญญาตรีก็ไปต่อปริญญาโท ปริญญาเอกด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยอิลินอย สหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาบวชอีกครั้ง ในปี ๒๕๓๘ มีหลวงพ่อพระเทพกิตติปัญญาคุณบวชให้ ปัจจุบันอาตมาอายุ ๖๒ ปี ก็ขอทำหน้าที่ลูกศิษย์ทายาทธรรมของหลวงพ่อให้ดีที่สุด
Cr : สิงหล เพจบุคคลยุคต้นวิชชา
ไม่มีความคิดเห็น