ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

ลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ อดีตสามเณรจุลณี เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ ตอนที่ 1

"หลวงพ่อ ไม่ทิ้งเอ็งหรอก" ถ้อยคำนี้ยังก้องอยู่ในใจของลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ ซึ่งมีอายุได้ ๖๒ ปีแล้ว อยู่ตลอดเวลา แม้จะผ่านช่วงวัยของชีวิต จากวันนั้นถึงวันนี้มาร่วม ๔๐ กว่าปีแล้วก็ตาม แต่ภาพต่างๆ ครั้งเคยเป็นลูกเณรของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ผู้ที่ลุงเคารพบูชาสุดในชีวิตก็ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำ เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า เป็นการตายแล้วเกิดใหม่ นั่นยิ่งตอกย้ำความทรงจำของลุงให้สนิทแนบแน่นยิ่งขึ้น
เริ่มแรกนั้น ยายผมชื่อยายเพิ่ม ไปบวชเป็นชีอยู่ที่วัดปากน้ำ ผมจะเรียกยายติดปากว่า "แม่ครู" ยายผมมีความศรัทธาในหลวงพ่อวัดปากน้ำมาก สมัยนั้นวัดยังไม่เจริญ แม้แต่บริเวณก็ไม่มาก ไม่เจริญเท่าปัจจุบันนี้ เมื่อยายบวชเป็นชี แม่ก็พาผมมาเยี่ยมยายที่วัดอยู่เป็นประจำตอนนั้นอายุประมาณ ๑ ขวบ บ้านอยู่ที่ดำเนินสะดวก นั่งเรือมาจากดำเนินสะดวก สมัยนั้นเรียกกันว่า "เรือแดง"
นั่งเรือแดงมาจนถึงบางยาว แล้วก็ต่อเรือจากบางยาวมาขึ้นที่กระทุ่มแบน แล้วต่อรถยนต์มาลงตลาดพลู ใช้เวลาเดินทางจากบ้านมาถึงวัดก็ประมาณ ๑ วัน ออกจากบ้าน ๘ โมงเช้า มาถึงวัดปากน้ำทุ่มกว่าถึง ๒ ทุ่ม จำได้ว่าแม่เอาผ้าป่ามาทอดด้วย ปีหนึ่งก็มาทอดครั้งหนึ่งตอนออกพรรษา ทางวัดก็จะมีการตักบาตรเทโวฯ วันนั้นหลวงพ่อท่านก็จะเปิดโลก คนก็จะมาสักการะบูชา มาเวียนเทียน หลวงพ่อท่านก็จะเทศน์เปิดโลกให้เทวดาและมนุษย์มาฟัง วันนั้นถ้าใครที่มีสมาธิกล้า มองขึ้นไปบนฟ้า ก็จะเห็นเทวดามากันเต็มไปหมด มีคนเห็นกันเยอะ
ต่อมาผมก็ได้รับพระของขวัญกับหลวงพ่อ พอรับพระเสร็จหลวงพ่อท่าน ก็จะสอนวิชชาธรรมกาย เราก็ปฏิบัติตามท่าน ทีนี้พอแม่ไปๆมาๆ ที่วัดบ่อยเข้า แม่ก็อยากให้บวช พอจบ ป๔ แม่ก็ให้บวชเลย ตอนนั้น อายุ ๑๔ ปี (พ.ศ.๒๔๙๖) โตแล้วจำทางได้ สามารถเดินทางมาวัดคนเดียวได้แล้ว ตอนก่อนที่จะบวช หลวงพ่อท่านก็จะเรียกเข้าไปนั่งสมาธิในโบสถ์ แล้วท่านก็ถามว่า เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ จิตถึงไหนแล้ว ไหนเล่าให้หลวงพ่อฟังสิ เราก็รายงานให้ท่านฟัง
ก่อนเข้าพรรษา ๒วัน ก็ได้บวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้วหลวงพ่อก็ให้เข้าไปทำวิชชาในโรงงานทำวิชชา โรงงานทำวิชชาจะเป็นห้องเล็กๆ ไม่ใหญ่ มีพระนั่งอยู่ ๒๓ แถว มีเณรนั่งอยู่ ๒ แถว มีห้องของหลวงพ่อ อยู่อีกห้องหนึ่งตรงกลาง ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นห้องของแม่ชีมองไม่เห็นกัน มีฝากั้นได้ยินแต่เสียง จะมีช่องให้ได้ยินเสียงของหลวงพ่อ พระจะมองเห็นหลวงพ่อ แต่แม่ชีไม่เห็นหลวงพ่อท่านก็จะสั่งให้ใช้ธรรมกาย แก้ไขทุกข์มนุษย์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ รบกับมาร เราต้องรบกับมาร ไม่ชนะไม่ได้ เราต้องเอาชนะให้ได้ ทำกันตลอดเวลา ได้พักตอนช่วงฉันเช้ากับฉันเพล พอบ่าย ๓ โมง หลวงพ่อท่านก็เรียกเข้าโรงงานทำวิชชาต่อ
ในโรงงานทำวิชชานั้น หลวงพ่อเรียกผมว่า จุลณี ซึ่งความจริง ตอนแรกผมมีชื่อว่าประเสริฐ แต่หลวงพ่อเรียกว่าจุลณี ชื่อนี้เป็นชื่อในอดีตชาติของผม หลวงพ่อท่านก็จะให้ไปดู ท่านต้องการให้เรารู้ว่า ชาติที่ผ่านมา ทำบาปทำกรรมอะไรมา แล้วชาติก่อนที่จะมาเกิดนี้ เป็นอะไรมา ท่านก็ตามไปดูกับเราด้วย ไปคู่กันเลย คอยคุมคอยดูเราไว้ ดูตั้งแต่สมัยโน้นนะ สมัยที่เป็นแผ่นดินมาดูเป็นหมื่นๆ ชาติชื่อจุลณีนี้เป็นชื่อเจ้าเมือง คอยควบคุมคนปกครองคน แบบอัยการศึก คือเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ ไม่ได้มาปกครองทั้งประเทศอย่างนี้
การเห็นภาพภายในหมายถึงตอนที่เราระลึกชาตินั้น เราจะเห็นเหมือนเราแสดงหนังแล้วมาฉายให้เราดู เหมือนการกรอหนังกลับ บางชาติเกิดเป็นผู้หญิงก็มี ชาติก่อนเราเป็นเจ้าใช่ไหม แล้วก็สร้างกรรมเอาไว้ เขาเอาผู้หญิงมาให้ นี่กรรมนี้ทำให้เราเกิดเป็นผู้หญิง
ก่อนที่จะไปเป็นผู้หญิงก็ไปเกิดเป็นสุนัข เป็นสัตว์เดรัจฉานมากมาย พอจากชาตินั้นแล้ว ใช้กรรมจนหมดแล้ว ก็มาเกิดเป็นผู้ชายแท้ นี่ถ้าหลวงพ่อท่านอยู่ คงเล่าได้มากกว่านี้ แต่หลวงพ่อไม่อยู่ เล่ามากไม่ได้ เพราะถ้าเล่าไปแล้วคนไม่เชื่อก็จะเป็นบาป หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า ให้เราทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ อันนี้ท่านย้ำมาก บอกอยู่บ่อย แต่เราทำไม่ค่อยได้ ท่านบอกว่าต้องทำเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าเข้าใจไหม
เราเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจ แล้วท่านก็อธิบายว่า เหมือนเขาเอาไม้มาตีเรา แล้วถามว่าเราเจ็บไหม ก็เจ็บนะ แล้วเราจะตีเขาตอบไหม เราจะโกรธไหม ถ้าโกรธนั้นแหละตัวกรรม ถ้าเขาตีเรา แล้วเราอโหสิให้ เราจะได้แสงรัศมีของความอดทน เราจะได้บารมีตรงนี้
Cr : สิงหล เพจบุคคลยุคต้นวิชชา

ไม่มีความคิดเห็น