ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

ชีวิตจะมีคุณค่า หากได้สืบทอดรักษาพระธรรมวินัย

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ฝึกคนให้มีบุคลิกองอาจสง่างามทั้งในยามที่ยังมีชีวิตอยู่และในยามที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว นั่นคือคำว่า
สุคติ และ สุคโต
สุคติ คือ ตายแล้วมีสุคติเป็นที่ไป
สุคโต คือ ตายแล้วมีพระนิพพานเป็นที่ไป
สุคติและสุคโต ทั้งสองคำนี้ ใช้อธิบายบุคลิกอันองอาจของชาวพุทธทั้งในยามเป็นและยามตาย ถ้าพูดเป็นภาษาปัจจุบันก็คือ

เวียนว่ายอย่างสุคติ ตายอย่างสุคโต หมายความว่า
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน
เมื่อตายไปแล้ว ไม่ตกนรกหมกไหม้ องอาจในเทวโลก
เมื่อหมดกิเลส ก็ดับขันธ์ 5 เข้านิพพานได้อย่างสง่างาม

ในยุคพุทธกาลนั้น พระบรมศาสดายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทรงทุ่มเททำงานเผยแผ่พระธรรมคำสอนตลอดทั้งวันทั้งคืน
ยามเช้า เสด็จบิณฑบาตโปรดสัตว์
ยามเย็น ทรงแสดงธรรมโปรดประชาชน
ยามค่ำ ทรงให้โอวาทฝึกอบรมพระภิกษุสงฆ์
ยามดึก ทรงแสดงธรรมแก่เทวดาและพระราชา
ยามรุ่ง ทรงแผ่ข่ายพระญาณตรวจดูสรรพสัตว์ทั้งภพสาม

พุทธกิจวัตรทั้ง 5 ประการนี้ คือการทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน ตลอด 45 พรรษา เพื่อช่วยเหลือชาวโลกในยุคนั้นได้พบทั้งสุคติและสุคโตตามพระองค์ไปให้มากที่สุด ก่อนถึงวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน ยิ่งกว่านั้น พุทธกิจวัตรทั้ง 5 นั้น ยังได้แฝงแนวทางการสืบทอดรักษาพระธรรมวินัยไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย นั่นคือ
1. ทำกิจวัตรเป็นต้นแบบให้ดู
2. สั่งสอนให้ทำตามพระธรรมวินัย
3. ช่วยเหลือแก้ไขไม่ทอดทิ้งในยามมีปัญหา
4. เอาใจใส่ดูแลอย่างทั่วถึงและยุติธรรม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า พระบรมศาสดาทรงวางแนวทางสืบทอดรักษาพระธรรมวินัยไว้เป็นตัวแทนของพระองค์ ตั้งแต่ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน

ทำให้แม้ภายหลังพระบรมศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พระอรหันต์ขีณาสพก็ยังสามารถฝึกฝนอบรมชาวพุทธรุ่นหลังให้มีบุคลิกที่องอาจสง่างาม มีสุคติและสุโคตทั้งในยามเป็นและยามตาย โดยอาศัยพระธรรมวินัยที่สืบทอดไว้ดีแล้วตั้งแต่พระบรมศาสดายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั่นเอง

พระธรรมวินัยที่ได้ชื่อว่าสืบทอดไว้ดีแล้วนั้น ภายหลังต่อมาได้รับการเผยแผ่ไปทั่วโลก ผ่านร้อนผ่านหนาวหลายครั้ง จนกระทั่งมาถึงดินแดนสุวรรณภูมิ และกลายเป็นพระพุทธศาสนานิกาย "เถรวาท" สืบทอดอยู่บนแผ่นดินไทยมาตลอดหลายพันปีหลังพุทธปรินิพพาน

นั่นก็หมายความว่า ชาวพุทธในยุคนี้ที่มาเกิดหลังพุทธปรินิพานไปแล้วตั้ง 2,500 กว่าปี จะสามารถมีบุคลิกที่องอาจสง่างามทั้งสุคติและสุคโตในยามเป็นและยามตายได้นั้น มีทางเดียวก็คือ ต้องสืบทอดรักษา "พระธรรมวินัย" ให้คงอยู่คู่โลกต่อไปให้ได้ การมาบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ไม่สูญเปล่า ความทุ่มเทของหลวงปู่หลวงพ่อในรุ่นก่อนๆ จะได้ไม่เหนื่อยเปล่า ข้าวปลาอาหารของปู่ย่าตายายรุ่นก่อนๆ ที่บำรุงเลี้ยงพระพุทธศาสนามาถึงชาวพุทธรุ่นพวกเราจะได้ไม่เปลืองเปล่า ความเหน็ดเหนื่อยที่ไม่สูญเปล่าของพระบรมศาสดา หลวงปู่ หลวงพ่อ และปู่ย่าตายายนี้เอง คือ "สุคติ" และ "สุคโต" ของชาวพุทธรุ่นหลังอย่างเรา

ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็คงไม่มีเราในวันนี้
ถ้าไม่มีข้าวก้นบาตรของครูบาอาจารย์ก็คงไม่มีเราในวันนี้
ถ้าไม่มีก้อนข้าวแห่งศรัทธาของสาธุชนก็คงไม่มีเราในวันนี้
ความทุ่มเทเหนื่อยยากทั้งหมดนี้ ก็เพราะตั้งความหวัง
ให้เราช่วยกันธำรงรักษา "พระธรรมวินัย" ไว้เป็นตัวแทนของพระบรมศาสดาต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าไม่มีธรรมวินัยอยู่ในโลกนี้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ย่อมอันตรธานหายไป เมื่อนั้นโลกนี้ย่อมไม่มีพระพุทธศาสนาที่ชาวโลกให้การยกย่องว่าได้รับการสืบทอดไว้ดีแล้วที่ชื่อว่า "เถรวาท" แล้วเราจะมี "สุคติ" และ

"สุคโต" เป็นที่ไปได้อย่างไร ก็เพราะแม้ยามตายยังนอนตายตาไม่หลับนั่นเอง สิ่งเดียวที่จะทำให้เรานอนตายตาหลับได้ นั่นคือ สืบทอดรักษาพระธรรมวินัยของเถรวาทต่อไปให้จงได้ ชีวิตเราถึงจะองอาจสง่างามด้วย

"สุคติ" และ "สุคโต" ต่อไปได้ เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไปสวรรค์ไม่อายเทวดา ไปพระนิพพานก็องอาจสง่างามอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระพุทธศาสนามิได้อันตรธานหายไปในยุคของเรานั่นเอง --------------------------------

ปล. บันทึกไว้ในวันที่ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ปลดเจ้าคณะจังหวัดโดยไม่ปรากฏความผิด และไม่มีการสอบสวนตามพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท

Cr : Ptreetep Chinungkuro

ไม่มีความคิดเห็น