มีเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนยึดเป็นหลักในการดูแลคนคือ ชาดกเรื่อง นิโครธมิคชาดก ซึ่งมีที่มาที่ไปคือ ในแคว้นมคธได้เกิดอธิกรณ์ที่สำคัญคือ มีการพิจารณาความเรื่องภิกษุณีตั้งครรภ์ที่เดินทางรอนแรมเป็นระยะทางแสนไกลเพื่อมาขอความเป็นธรรมถึงวัดเชตวัน เนื่องจากท่านรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการที่ถูกพระเทวทัตให้สึกจากเหตุของการตั้งครรภ์นั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมศาสดา พระองค์ได้ทรงโปรดให้ชำระอธิกรณ์โดยตั้งให้พระอุบาลี ผู้เลิศด้านพระวินัย ฝ่ายอุบาสกคือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และฝ่ายอุบาสิกาคือ มหาอุบาสิกาวิสาขาและคนสำคัญสูงสุดในขณะนั้นอีกหลายท่าน ร่วมกันตัดสิน
ผลคือ ภิกษุณีไม่ได้กระทำผิดพระวินัยแต่อย่างใด เพราะจากการตรวจสอบพบว่าท่านตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนบวชแล้ว คณะกรรมการจึงอนุญาตให้ท่านพักอยู่ในสำนักของภิกษุณีจนกระทั่งคลอด พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงรับเลี้ยงกุมารนั้น ต่อมาภายหลังกุมารนั้นก็ออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
ที่ผู้เขียนยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวเนื่องจากเกิดเหตุกาณ์ประจวบเหมาะที่ระหว่างนี้เกิดเรื่องราวที่กระทบกระเทือนจิตใจของชาวพุทธที่มีใจเป็นธรรมพอสมควร เนื่องจากมีการปลดพระผู้ใหญ่ระดับเจ้าคณะจังหวัดถึง ๓ ท่าน ที่ลูกศิษย์ลูกหาทำใจลำบากก็ตรงที่ ไม่มีการฟ้องร้อง กล่าวหา เรียกท่านไปชี้แจงหรือได้กระทำการตามลำดับขั้นตอนในการสอบอธิกรณ์แต่อย่างใด
เรื่องทำนองนี้หากไม่เกิดกับตนเอง เราก็คงเห็นเป็นเรื่องไกลตัว บางท่านมองว่า ก็ดีแล้วนี่ ท่านอายุมากแล้ว จะได้พักผ่อน บางท่านก็มองว่า อย่าไปยึดติดเลย ปลดก็ปลดไป สบายใจซะอีก ได้อยู่เงียบ ๆ หากคิดอย่างนี้ ก็ขอให้ย้อนกลับมาพิจารณาว่า หากเรื่องนี้เกิดกับเราเอง หรือคนที่เรารัก เราจะรู้สึกอย่างไร
ผู้เขียนมั่นใจว่าพระผู้ใหญ่ทั้ง ๓ รูป ท่านไม่ยึดติดอยู่แล้ว แต่ขอให้นึกถึงผลที่เกิดขึ้นบ้างว่า
ประการแรก สาธุชนที่เคารพศรัทธาในปฏิปทาของครูบาอาจารย์ของเขาจะเจ็บช้ำน้ำใจแค่ไหนที่รู้สึกว่า บุคคลที่เขาเคารพไม่ได้รับความเป็นธรรม
ประการที่สอง พระผู้ปกตรองระดับต่าง ๆ จะเกิดความมั่นใจในความปลอดภัยในการทำงานอย่างไรจะกล้าทำอะไรหรือไม่ ด้วยเกรงว่าจะไปขัดหูขัดตาใครแล้วถูกปลดบ้าง
ประการที่สาม ในเมื่อเกิดกรณีอย่างนี้ได้ วันหนึ่งข้างหน้าก็คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกฎ กติกาต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นมา จะหาความศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
ผู้เขียนนึกถึงวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทิ้งมรดกธรรมไว้ คือ การไม่ตั้งใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ให้ธรรมและวินัยเป็นหลักในการปกครองหมู่คณะต่อไป
ณ วันนี้ วินาทีนี้ ก็ต้องย้อนกลับไปถามว่า การคณะสงฆ์ยังยึดมั่นในหลักที่พระบรมศาสดาได้ให้ไว้หรือไม่ คำเปล่งวาจาในวันบวชว่า "ข้าพเจ้าขอสลัดออกจากกองทุกข์และทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" เพื่อหวังจะเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา ยังหนักแน่นอยู่หรือไม่ หากคำกล่าวนั้นยังชัดเจนก็น่าจะได้ทบทวนถึงกระบวนการต่าง ๆ ให้ดี
พระพุทธศาสนานั้น เป็นศาสนาแห่งความเมตตา ยึดหลักเมตตาธรรมต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ในเมื่อมีความเมตตาต่อผู้อื่นได้ จะไม่เมตตาต่อพระด้วยกันกระนั้นหรือ โปรดได้กระทำทุกอย่างตามกระบวนการแห่งความยุติธรรม เพื่อให้ชาวโลกได้เห็นว่า "เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก" อย่างแท้จริง
Cr : กวีนิรนาม
แสดงความคิดเห็น FACEBOOK
อะไรๆก็พอจะรับได้ เเต่ประเด็นที่ว่า การดำเนินครั้งนี้ ดูฉุกละหุก ผิดจากขั้นตอนปกติ ทำให้น่าคิดว่า เจตนารมณ์จริงๆคืออะไร ชี้แจ้งได้ไหม??
ตอบลบอนุโมทนาบุญค่ะ ความเมตตานี่แหละที่จะทำให้สังคมสงบสุข ช่วยให้โลกนี้ไม่วุ่นวาย ขอให้มีเมตตาต่อกัน เราอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน ทำดีต่อกันก่อนละโลกดีกว่า
ตอบลบความเมตตาจะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น
ตอบลบ#saveกลวงพ่อ
รู้สึกว่าไม่ให้ความเป็นธรรมกับพระสงฆ์เลยอยากทำอะไรก็ทำง่ายขนาดนั้นเลยหรือ แสดงเจตนารมณ์ไม่ดีทำอะไรให้ชัดเจนบ้าง
ตอบลบ#Saveหลวงพ่อ
#ขอความเป็นธรรม
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความเมตตาเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจของผู้ที่ได้รับ
ตอบลบ😇😇😇เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
ขอกราบอนุโมทนาบุญค่ะ "ความเมตตาธรรม ก่อเกิดที่ใดที่นั่นย่อมสว่างและงดงาม"
ตอบลบ#SAVEหลวงพ่อ
สาธๆๆกราบอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ "เมตตาธรรมย่อมค้ำจุนโลกให้สงบร่มเย็นเสมอ"
ตอบลบสาธุๆๆค่ะกราบอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ"เมตตาธรรมย่อมค้ำจุนโลกให้สงบร่มเย็นเสมอ" #saveหลวงพ่อ
ตอบลบ