ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

อัคคัญญสูตร...กรณีศึกษากระบวนการยุติธรรม


ครั้งแรกที่ผู้เขียนได้อ่านอัคคัญญสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่ว่าด้วยการเกิดขึ้นของโลกและมนุษย์ มีความรู้สึกดีใจว่า เออเนาะ บรรพบุรุษของเราไม่ใช่ลิงตามทฤษฎีที่อีตาดาร์วินแกบอกไว้ ส่วนว่าจะเป็นอะไรคงไม่ขยายความอยากให้ผู้อ่านไปลองหาอ่านพระสูตรนี้ดู

ผู้เขียนขอสรุปสั้น ๆ ว่า หลังจากที่เกิดมนุษย์แล้ว ได้มีวิวัฒนาการตามมาคือ เรื่องของอาหาร เนื่องจากเดิมมนุษย์มีกายละเอียดมาก แต่เมื่อมากินของหยาบเข้าไปทำให้ร่างกายดั้งเดิมที่มีรัศมี มีความผ่องใสก็สูญหายไป เริ่มตั้งแต่รู้จักการกินง้วนดิน ที่มีลักษณะคล้ายเนยใส เนยข้น รสอร่อยเหมือนน้ำผึ้ง พอกินง้วนดินเข้าก็เกิดความแตกต่างในเรื่องของผิวพรรณ ทำให้เกิดการเหยียดผิวขึ้น พอง้วนดินหมด ก็มากินสะเก็ดดิน ที่มีลักษณะคล้ายเห็ด แต่กลิ่นก็ยังคล้ายเนยใส เนยข้น รสก็เหมือนน้ำผึ้ง ผิวพรรณก็แย่ไปอีก การเหยียดผิวก็ตามมา ทำให้สะเก็ดดินหมด เมื่อสะเก็ดดินหมด ก็เกิดเครือดินที่คล้ายเถาผักบุ้ง มีสีเหมือนเนยใส เนยข้น รสเหมือนน้ำผึ้ง ร่างกายก็หยาบขึ้น เกิดการเหยียดผิวอีก เครือดินก็หมดไป

จากนั้นก็เกิดข้าวสาลี เดิมก็ไม่มีเปลือก แต่เมื่อมนุษย์มีความโลภ มีการกักตุน ทำให้เกิดเปลือกขึ้นมา จุดที่น่าสนใจในประเด็นเกี่ยวกับข้าวสาลีคือ เดิมนั้น จะไม่มีการกักตุน ผู้คนจะไปเก็บเอาข้าวเมื่อจะปรุงอาหาร แต่ต่อมาเมื่อมีการกักตุน จึงต้องมีการแบ่งเขตแดน จำกัดที่ของตนเท่านั้น

ความวุ่นวายมาเกิดขึ้นตอนที่ แม้มีการแบ่งเขตแดนแล้ว ก็ยังมีตัวแสบ ไปลักข้าวในแปลงของผู้อื่น ทำให้ต้องมีมาตรการต่าง ๆ เกิดขึ้น ผู้เขียนขอยกเอาข้อความในพระสูตรมากล่าวดังนี้

"...ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่งมีนิสัยโลภ รักษาส่วนของตนไว้แล้ว ถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ให้มาบริโภค คนทั้งหลายจับเขาได้ จึงกล่าวว่า

"คุณ คุณทำกรรมชั่วที่รักษาส่วนของตนไว้แล้ว ถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ให้มาบริโภค คุณอย่าทำกรรมชั่วอย่างนี้อีก’ สัตว์นั้นก็รับคำแล้ว

แม้ครั้งที่ ๒ สัตว์นั้น ...

แม้ครั้งที่ ๓ สัตว์นั้นก็รักษาส่วนของตนไว้แล้ว ถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ให้มาบริโภค คนทั้งหลายได้พากันจับเขาแล้ว กล่าวคำนี้ว่า ‘คุณ คุณทำกรรมชั่ว ที่รักษา ส่วนของตนไว้แล้ว ถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ให้มาบริโภค คุณอย่าได้ทำอย่างนี้อีก’ คนเหล่าอื่น ใช้ฝ่ามือบ้าง ก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ทำร้าย ..."

ที่ผู้เขียนสะดุดใจคือ เรื่องนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เมื่อกว่า ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ที่สำคัญเป็นเรื่องราวตั้งแต่ยุคต้นกัป ตั้งแต่เกิดมนุษย์ไม่นานนัก และในช่วงนั้นยังไม่มีการจัดระบบของหมู่บ้านหรือมีผู้นำแต่อย่างใด แต่ปรากฏว่ามีแนวปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมแล้วกล่าวคือ
๑. เมื่อมีการทำผิดโดยการลักข้าวของผู้อื่น ก็มีการจับตัวมาสู่กลุ่มคน
๒. เมื่อยอมรับผิด ก็มีการตักเตือน ให้โอกาสถึง ๓ ครั้ง
๓. เมื่อครั้งที่ ๓ เห็นแล้วว่า เป็นการทำผิดซ้ำซาก ไม่เข็ดหลาบ จึงมีการลงโทษ โดยการใช้ฝ่ามือบ้าง ก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ทำร้าย (ต่อมาภายหลังมีการปรับปรุงระบบโดยการตั้งหัวหน้าขึ้นมาคอยตัดสินคดี)

จากพระสูตรนี้ ทำให้ผู้เขียนต้องมองย้อนจากอดีตกลับมาสู่ปัจจุบัน จากยุคต้นกัปมาถึงพ.ศ. ๒๕๖๔ ปี ณ ประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ยังมีกระจายเต็มแผ่นดิน พระภิกษุสงฆ์มีจำนวนกว่า ๒๐๐,๐๐๐ รูป หากดูตามข้อมูลแล้ว น่าจะเป็นดินแดนที่สงบร่มเย็น และคงเป็นเช่นนั้น หากจู่ ๆ จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนใจของชาวพุทธผู้รักธรรมะ รักความยุติธรรม กล่าวคือ พระผู้ใหญ่ระดับเจ้าคณะจังหวัดถึง ๓ รูป ถูกปลดจากตำแหน่ง โดยไม่มีการสอบสวน ไม่มีกระบวนการใด ๆ ทั้งสิ้น ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงใจ สลดใจ แก่ชาวพุทธเป็นอย่างยิ่ง

คำถามที่ตามมาคือ แล้วจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกกี่ครั้ง ชาวพุทธจะต้องช้ำใจอีกกี่หน พระพุทธศาสนาจะเกิดรอยด่างอีกกี่รอบ ความเมตตา การให้โอกาสแก้ไข ให้โอกาสชี้แจง ไม่มีแล้วหรือในสังคมปัจจุบันที่บอกว่าทันสมัยแล้ว

อ้อ ผู้เขียนลืมไปว่า ในยุคนั้นจิตใจของผู้คนยังบริสุทธิ์กว่าคนในยุคปัจจุบันมากนัก

Cr : กวีนิรนาม

 แสดงความคิดเห็น FACEBOOK

5 ความคิดเห็น

  1. ความจริงต้องค่อยๆไปพิสูจน์ ด่วนตัดสิน ผิดพลาดไปจะเป็นวิบากกรรมติดตัวไปนะ

    ตอบลบ
  2. นี่เป็นขั้นตอนปกติของกระบวนการยุติธรรมในทุกยุคทุกสมัยเลยค่ะ ส่วนที่ไม่ได้ทำตามขั้นตอนดังกล่าวก็ไม่นับว่าเป็นกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใดค่ะ

    ตอบลบ
  3. ขอความเป็นธรรมให้คณะสงฆ์ด้วยเถอะ#saveหลวงพ่อ#saveพระมหาสมปอง#saveพระไพรวลย์

    ตอบลบ