ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

เป็นพระไทยสบายจริงหรือ?

ผู้เขียนคิดว่าหลาย ๆ ท่านคงจะมีความคิดว่าการเป็นพระไทยนี่สบายจังเลย หรืออย่างน้อยที่สุดก็คงเคยเห็นมีคนเขียนหรือพูดทำนองนี้ แต่น่าแปลกที่พอชวนคนที่พูดว่า "งั้นไปบวชกันไหม" กลับตอบปฏิเสธไปซะงั้น

ในฐานะของผู้ที่อยู่ในแวดวงสงฆ์ คงจะขอให้มองในอีกมุมหนึ่งที่เราอาจจะลืมเลือนไป แต่ทั้งนี้ขอทำความเข้าใจกันก่อนนะว่า เรากำลังพูดถึง "พระ" คือ ผู้ที่ตั้งใจบวชเพื่อจะฝึกหัดขัดเกลาตนเอง มีเป้าหมายจะไปนิพพาน ไม่ได้หมายถึง "คน" ที่ห่มเหลือง แล้วคิดจะแสวงหาโอกาสจากการนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์นั้น

แท้จริงแล้วหน้าที่ของ "พระ" หลัก ๆ คือ การทำหน้าที่กัลยาณมิตร กล่าวคือ เป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเอง โดยการฝึกตัวตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา และในขณะเดียวกัน เมื่อฝึกตัวได้มากน้อยเพียงใด ก็มาทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้ผู้อื่น โดยการนำความรู้จากการที่ตนเองฝึกตัวได้นั้น มาแนะนำชาวบ้าน

แค่หน้าที่ตรงนี้จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะต้องเป็นต้นบุญต้นแบบให้กับผู้อื่น

ดังนั้นผู้เขียนจึงมองว่าการเป็นพระนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด ๆ กัน และยิ่งองค์ไหนที่มีความตั้งใจจริงจะบวชอุทิศชีวิตให้กับพระพุทธเจ้า ให้กับพระพุทธศาสนา โดยไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ จะเอางานพระศาสนาเป็นตัวตั้ง นี่ยิ่งหายากเข้าไปอีก

หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า พระไทยนั้น ไม่สามารถมีสิทธิ มีเสียงอะไรในเรื่องการเมือง ใช้สิทธิเลือกตั้งก็ไม่ได้ ขอสมัครเป็นผู้แทนรับเลือกตั้งก็ไม่ได้ แต่เวลามีกฎหมายกี่ฉบับออกมา พระทุกรูปต้องปฏิบัติตาม จะเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม ก็ได้แต่นิ่งเงียบ ออกมาพูดมากก็จะโดนจับสึก
ที่สำคัญ หากองค์ไหนมีตำแหน่งในการคณะสงฆ์ เป็นเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าคณะต่าง ๆ เขากำหนดตามกฎหมายให้เป็น "เจ้าพนักงาน" ถามว่า เอาไว้ทำอะไร ก็ตอบได้อย่างเดียวว่า เอาไว้ติดคุก เพราะเวลาที่ทำผิดพลาดอะไรขึ้นมาหรือแค่ตั้งข้อหา ก็จะเอากฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ มาอ้างว่า เป็นเจ้าพนักงานทำผิด จับสึก จับติดคุกได้เลย

ที่แปลกมาก ๆ เป็นตัวอย่างที่ไม่นึกว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ คือ การปลดเจ้าคณะจังหวัดถึง ๓ จังหวัด ผู้เขียนรีบเข้าไปดูว่า ท่านทำผิดอะไรร้ายแรง อ่านหนังสือพิมพ์กี่ฉบับก็ไม่มีรายละเอียด แถมพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมบางรูปก็ออกมาพูดว่า ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน อ้าว เรื่องสำคัญขนาดนี้ กลับไม่มีการยื่นเรื่องมาตามขั้นตอน ก็คงต้องบอกว่า มันแปลกดีนะ ๆ

ตามหลักของการดำเนินการทางวินัยสำหรับเจ้าหน้าที่โดยทั่วไปนั้น มีขั้นตอนสังเขปคือ
๑. มีการสืบสวนหามูลความจริง
๒. มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน
๓. มีการสอบสวน ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้แก้ต่าง หาหลักฐานมาแสดง
๔. มีการพิจารณาความผิด แจ้งความผิด กำหนดโทษ
๕. มีการลงโทษ

ส่วนพิจารณาในแง่พระธรรมวินัยยิ่งหนักไปอีก เพราะหลักในการระงับอธิกรณ์ คือ
๑. จะต้องมีโจทก์ นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
๒. เมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้ว ก็ต้องมีการสอบสวนโดยผู้ปกครองสงฆ์
๓. เมื่อพิจารณาแล้วว่ามีความผิด ก็กำหนดโทษ
๔. มีการลงโทษ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กรณีของเจ้าคณะจังหวัดทั้งสามรูปดังกล่าวนี้ เป็นการปฏิบัติที่ปราศจากขั้นตอนทางบ้านเมืองและทางสงฆ์ ซึ่งนับว่าแปลกแสนแปลกจริง ๆ ต้องถามว่า หากยอมรับเรื่องนี้ ต่อไปภายภาคหน้าจะมีเจ้าคณะจังหวัดก็ดี เจ้าคณะปกครองอื่น ๆ ก็ดี ถูกกระทำในลักษณะนี้อีกกี่รูป หรือนี่คือวิธีการจำกัดการเติบโตของพระพุทธศาสนา เพราะจากกรณีดังกล่าว จะทำให้พระสังฆาธิการทั้งหลายต่างก็ต้องระมัดระวังจะทำอะไรก็ต้องไม่ให้ไปสะดุดผู้มีอำนาจจัดการ เมื่อระดับพระสังฆาธิการไม่ขยับแล้ว ระดับล่างก็ต้องหมอบตามไปด้วย ในที่สุดพระพุทธศาสนาก็จะเรียวลงและหมดไปในที่สุด

นี่เป็นเพียงข้อมูลหรือเรื่องราวเพียงน้อยนิดที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ไทย ดังนั้นหากใครที่คิดว่าเป็นพระแสนสบาย เป็นพระนั้นง่าย ก็ขอเรียนเชิญให้ไปบวชกันหลาย ๆ พรรษา จะให้ดีอยู่จนเป็นเจ้าอาวาสต้องรับภาระต่าง ๆ แล้วจะได้คำตอบด้วยตนเองว่าการเป็นพระ(แท้)นั้นยากหรือง่ายอย่างไร

Cr : กวีนิรนาม

 แสดงความคิดเห็น FACEBOOK

7 ความคิดเห็น

  1. เห็นด้วยกับท่านดรบรรจบค่ะ
    ทำตามพระธรรมวินัยก็จบ
    เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติ
    ต่อมาถึงปัจจุบันค่ะ

    ตอบลบ
  2. มนุษย์และเทวดาสรรเสริญ พระผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติชอบในธรรม

    ตอบลบ
  3. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้ทุกคนใจใสใจสบาย
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ตอบลบ
  4. เมื่อไม่ถูกต้องชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง ก็ต้องร่วมกันคัดค้านค่ะ

    ตอบลบ
  5. #ปลดเจ้าคณะจังหวัดผลงานดี
    #ไม่สามารถแจ้งความผิดพระ
    #พระธรรมวินัย
    #Saveหลวงพ่อ
    #SAVEพระดี
    #SAVEพระพุทธศาสนา

    ตอบลบ
  6. รณีของเจ้าคณะจังหวัดทั้งสามรูปดังกล่าวนี้ เป็นการปฏิบัติที่ปราศจากขั้นตอนทางบ้านเมืองและทางสงฆ์ ซึ่งนับว่าแปลกแสนแปลกจริง ๆ ต้องถามว่า หากยอมรับเรื่องนี้ ต่อไปภายภาคหน้าจะมีเจ้าคณะจังหวัดก็ดี เจ้าคณะปกครองอื่น ๆ ก็ดี ถูกกระทำในลักษณะนี้อีกกี่รูป หรือนี่คือวิธีการจำกัดการเติบโตของพระพุทธศาสนา เพราะจากกรณีดังกล่าว จะทำให้พระสังฆาธิการทั้งหลายต่างก็ต้องระมัดระวังจะทำอะไรก็ต้องไม่ให้ไปสะดุดผู้มีอำนาจจัดการ เมื่อระดับพระสังฆาธิการไม่ขยับแล้ว ระดับล่างก็ต้องหมอบตามไปด้วย ในที่สุดพระพุทธศาสนาก็จะเรียวลงและหมดไปในที่สุด

    ตอบลบ